R&D Internship @ Lisbon, Portugal

      สวัสดีอีกครั้งค่ะ  เราเป็นนิสิตเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 6 ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งค่ะ สำหรับคนที่ไม่ทราบเกี่ยวกับการเรียนเภสัชนะคะ เภสัชเนี่ยจะแบ่งเป็นหลายๆสายค่ะแล้วแต่มหาวิทยาลัย โดยแต่ละที่อาจจะเรียกแต่ละสายต่างชื่อกันแต่จริงๆแล้วมันก็คือแบบเดียวกันก็ได้ค่ะ โดยคณะเภสัชของมอเราแบ่งเป็น 2 สายค่ะ (แต่ในปี 2560 จะเปิดสายที่ 3 ขึ้นมาแล้ววว อันนี้เราไม่ทราบรายละเอียดปลีกย่อยมากค่ะ เพราะไม่ได้สนใจ ขอโทษนะคะ) คือ สาย Pharmaceutical care(บางคนอาจเรียกฟาร์มดี, บริบาล) และ Pharmaceutical science(บางคนอาจเรียกสายเทคโน, ผลิต) โดยตัวเรานั้นเรียนสายเทคโนค่ะ ความแตกต่างของสองสายนี้ก็คือ สายแคร์จะเน้นเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย (บริบาล) เน้นงานทางด้านโรงพยาบาลเป็นหลัก ส่วนสายเทคโนก็จะเน้นเรื่องการผลิต ทำยา การตลาด ฯลฯ สิ่งที่เราบอกนี่คือคร่าวๆมากเลยนะคะ ถ้าอยากรู้จริงๆอาจต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ เราเป็นพวกอธิบายไม่เก่งเท่าไหร่
      ต่อมา..การเรียนเภสัชในสมัยนี้มีแต่ 6 ปีเท่านั้นค่ะ ไม่มี 5 ปีแล้ว โดยการเรียนของทุกมอจะเหมือนกัน คือ ปี 1 - ปี 5 เรียนเนื้อหาที่มหาวิทยาลัย (ปิดเทอมปี 4 ขึ้นปี 5 นั้นมีการฝึกงานเหมือนกันหมดทั่วประเทศค่ะ คือ ต้องฝึกร้านยา 1 ผลัด และโรงพยาบาล 1 ผลัด) โดยปี 5 ของสายโทคโนจะต้องทำโปรเจกต์จบไปด้วย ส่วนปี 6 ทั้งปีนั้นเป็นการฝึกงานทั้งปีค่ะ สำหรับการฝึกงานในปี 6 นั้น จะแตกต่างกันไปในแต่ละสาย และแต่ละมหาวิทยาลัยอีกเช่นกัน บางที่มีแค่ 6 ผลัด แต่สำหรับมหาวิทยาลัยและสายเรามี 7 ผลัด โดย 1 ผลัด ใช้เวลา 6 สัปดาห์ โดยเริ่มฝึกงานกันตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - มีนาคม ส่วนเรื่องการเลือกที่ฝึกงานอะไรยังไงอันนี้ก็แตกต่างกันไปอีกเช่นกัน ชั้นปีเราจะมีที่ฝึกงานเป็น slot มาให้เลือก คือ มาเป็นบล็อกตั้งแต่ผลัด 0 - ผลัด 6 (วิธีเรียกของคณะเราค่ะ) เลือกทีต้องเลือกทั้งอัน ยกเว้นบางคนที่มีผลัดที่กำหนดมาอยู่แล้ว เช่น ที่ที่ต้องสอบสัมภาษณ์เข้าไป, ไปฝึกต่างประเทศ เป็นต้น อันนี้ก็จะโดนบังคับว่าต้องเลือก slot ไหนเท่านั้น เช่นเดียวกับเรานั่นเอง
      ย้อนไปประมาณเดือนกันยายน 2558 อาจารย์ก็ได้มาประกาศว่าปีที่พวกเราต้องไปฝึกงานนั้นมีที่ฝึกงานต่างประเทศให้ คือ ญี่ปุ่นและโปรตุเกส แต่ตอนแรกอาจารย์ยังไม่ได้แจ้งว่าได้กี่ที่นั่งและเป็นที่ใดในประเทศนั้นๆ ส่วนค่าใช้จ่ายในการไปฝึกงานต้องออกเองทั้งหมด โดยอาจารย์มีหน้าที่ประสานงานกับที่โน่นให้เฉยๆ(ทราบมาว่าเป็น connection ส่วนตัวของอาจารย์ แต่เราไม่ทราบรายละเอียดมากกว่านี้ค่ะ ไม่ทราบจริงๆ) โดยอาจารย์ได้มีการนับจำนวนนิสิตที่สนใจจะไปฝึกงานต่างประเทศ มีจำนวน 20 กว่าคน จาก 67 คน(สายเทคโนเท่านั้น ส่วนสายบริบาลมีแหล่งฝึกงานที่แตกต่างจากพวกเรา) ต่อมาช่วงตุลาคมอาจารย์ก็ได้แจ้งสถานที่ที่จะไปว่าเป็นที่ไหน หลังจากนั้นอาจารย์ก็ได้แจ้งว่าสรุปมีทั้งหมด 10 ที่นั่ง เป็นญี่ปุ่น 6 ที่นั่งและโปรตุเกส 4 ที่นั่ง และจะทำการสอบคัดเลือกเด็กที่จะไป
       ข้อสอบมี 2 part ใหญ่ๆ คือ Oral test และ Paper test
  1. Oral test สอบเป็นภาษาอังกฤษค่ะ มีอาจารย์ 2 ท่านช่วยกันถามคำถาม เริ่มตั้งแต่แนะนำตัว ทำไมถึงอยากไปฝึกงานต่างประเทศ เวลามีปัญหาจะแก้อย่างไร ถ้าเกิดปัญหานี้(อาจารย์สมมติ)ขึ้นจะทำอย่างไร เคยไปอยู่เมืองนอกมาบ้างไหม ถ้าไม่อาจารย์ก็จะถามต่อว่าแล้วมั่นใจเหรอว่าจะไปอยู่ได้ แล้วก็ให้เล่าโปรเจกต์จบ(ที่กำลังทำอยู่)ให้ฟัง แล้วเราจะเอาโปรเจกต์ที่เราทำไปพัฒนาต่อหรือไปประยุกต์กับที่ที่เราจะไปฝึกงาน(ที่ต่างประเทศ)อย่างไร ประมาณนี้ค่ะ โดยพาร์ทนี้ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีค่ะ แล้วแต่คนว่าใครพูดมาก-น้อย มีเรื่องให้ถามแค่ไหน
  2. Paper test มี 2 part ย่อยค่ะ โดยอันแรกเป็นข้อสอบแบบปรนัย มี 25 ข้อ ให้เวลาทำ 1 ชม. : 20 ข้อแรกเป็นคำถามเกี่ยวกับความรู้ภาษาอังกฤษ ส่วน 5 ข้อสุดท้ายเป็นคำถามเกี่ยวกับเภสัชศาสตร์ ส่วนพาร์ทย่อยต่อมาเป็นข้อสอบอัตนัยค่ะ คำถามมาเป็นภาษาอังกฤษแต่อาจารย์บอกว่าจะตอบเป็นภาษาอะไรก็ได้ ถามเกี่ยวกับความรู้ทางด้านเภสัชศาสตร์เช่นกัน มีแค่ 1 ข้อเท่านั้นค่ะ ให้พื้นที่ตอบ 1 A4 และเวลา 1 ชม.ในการทำ ส่วนตัวเราตอบเป็นภาษาอังกฤษค่ะเพราะเรื่องที่อาจารย์ถามนั้นค่อนข้างตรงกับโปรเจกต์ที่เราทำ(ซึ่งในการหาข้อมูลต่างๆมาทำโปรเจกต์ก็มีแต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น มันเลยไม่ยากสำหรับเราค่ะ)
       คนสอบจริงมีทั้งหมด 20 คนค่ะ ซึ่งประกาศผลเป็นตัวจริง 10 ค่ะ และสำรอง 3 คน โดยผลออกมาว่าเราติดตัวจริงค่ะ หลังจากนั้นก็ทำการเลือกประเทศที่ต้องการจะไป ปรากฏว่าเพื่อนๆไปแย่งญี่ปุ่นกันเยอะมากด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อแม่ท่านเป็นห่วงค่ะ ไม่อยากให้ลูกไปไกลหูไกลตา แต่เรานั้นเลือกโปรตุเกสค่ะ(สบายใจ ไม่มีใครมาแย่งของชั้น 555) พ่อแม่เราก็ห่วงแหล่ะค่ะ แต่เราเคยไปอเมริกามา 2 ครั้งแล้วก็เลยทำให้พวกท่านเชื่อใจได้ว่าไอ้ลูกสาวคนนี้สามารถเอาตัวรอดได้แน่นอน สรุปคือ เราได้เพื่อนไปด้วย 1 คน ค่ะซึ่งเป็นเพื่อนที่รหัสติดกันและเคยไปอเมริกามาเหมือนกันก็เลยเข้ากันได้ดีไม่มีปัญหาค่ะ ช่วงที่เราได้ไปคือ ผลัด 4(ถ้านับจริงๆคือผลัด 5) 31 ตุลาคม - 9 ธันวาคม 2559 ค่ะ
      พอขึ้นปี 6 มา ช่วงเดือนสิงหาก็ต้องเริ่มเตรียมตัวเตรียมเอกสารแล้วค่ะ โดยเรากับเพื่อนซื้อตั๋วเครื่องบินตั้งแต่ประมาณมีนาคมค่ะหลังจากที่รู้วันที่ต้องไป-กลับแน่นอน เป็นของสายการบิน Emirates ราคา 35,000 บาท ไปลงที่ Lisbon เลยค่ะ ก็จะมีรายการเอกสารที่ต้องใช้ในการขอวีซ่าไปเรียนต่อที่โปรตุเกสค่ะ โดยรายการนี้ได้รับมาจากรุ่นพี่ปีก่อนหน้าที่ไปมาค่ะ (รุ่นพี่เราเป็นปีแรกที่ได้ไปค่ะ ส่วนเราเป็นปีที่ 2) ซึ่งมีของที่ต้องใช้ดังรูปต่อไปนี้ (อันนี้สำหรับสถานทูตโปรตุเกสเท่านั้นค่ะ)
       โดยสิ่งที่เราต้องรีบไปขอก็คือใบรับรองความประพฤติที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะใช้เวลาในการออกประมาณ 15-30 วันทำการ! เอกสารที่ต้องใช้ในการขอใบรับรองความประพฤติได้แก่
  1. สำเนา passport ที่มีอายุมากกว่าหกเดือนก่อนหมดอายุ (จริงๆแนะนำว่าเอาเผื่อไว้ก่อนดีกว่า ประมาณ 9-10 เดือนค่ะ)
  2. สำเนาบัตรประชาชน
  3. สำเนาทะเบียนบ้าน
  4. สำเนาบัตรนักศึกษา ถ้าไม่มี(แบบเรา เพราะเราทำกระเป๋าตังหาย) ให้ใช้ใบรับรองสภาพนิสิตที่มหาวิทยาลัยออกให้ได้ค่ะ
  5. จดหมายชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องวีซ่า(จำเป็นต้องมี) ใช้อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอค่ะ เช่น จดหมายนำวีซ่าที่มหาวิทยาลัยที่ไทยออกให้, จดหมายรับรองว่ามหาวิทยาลัยที่โน่นรับเราไปศึกษาต่อ, จดหมายการยื่นขอวีซ่าประเทศนั้นๆที่ออกโดยสถานทูต
     ขั้นตอนในการทำก็ง่ายมากค่ะ แต่เตรียมเอกสารให้ครบ(สำหรับการขอใบรับรองความประพฤติเพื่อไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่การศึกษาต่อ ต้องเข้าไปดูในเว็บของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มเติมค่ะ) แล้วก็เตรียมเงินไป 100 บาทสำหรับค่าทำ 60 บาทสำหรับค่าส่งไปรษณีย์ พอไปถึงจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเราเข้าไปดูเอกสารว่าเตรียมมาครบไหม ไม่ครบไปเตรียมมาใหม่ - -" ถ้าครบแล้วเขาก็จะเอาไปจัดเรียงและแนบเอกสารที่เราต้องกรอกมา 2 แผ่น และใบปั๊มลายนิ้วมือ 1 แผ่น
      หลังจากนั้นก็ให้ไปตามที่ที่เขาบอกค่ะ(อยู่ในห้องเดียวกันแต่คนละโต๊ะ) ตรงนั้นจะมีโต๊ะให้กรอกเอกสารและตัวอย่างการกรอกทุกเอกสาร 2 ใบนั้นค่ะ(ถ้ากรอกผิด ห้ามใช้น้ำยาลบคำผิด ให้ขีดฆ่าตัวอักษรที่ผิดในแนวนอนแค่ 1 เส้นเท่านั้น แล้วเขียนสิ่งที่ถูกต้องข้างๆ ตามจริงแล้วต้องเซ็นชื่อกำกับด้วยค่ะ แต่ในเอกสารไม่มีพื้นที่พอ) หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จก็ไปปั๊มลายนิ้วมือค่ะ คุณตำรวจก็คอยอยู่ตรงนั้นช่วยเหลือตลอด จับเราปั๊มหมึกไปปั๊มกระดาษ เสร็จแล้วก็ให้ไปล้างมือและเข้าห้องถ่ายรูปค่ะ ตอนที่เราไปเป็นตอนกลางวัน(ที่นี่ไม่ปิดพักกลางวันค่ะ)เลยไม่ค่อยมีคนมั้งคะ คุณตำรวจก็ถ่ายให้ใหม่เรื่อยๆถ้าไม่พอใจ 555 แต่ถ้าคนเยอะนี่ไม่น่าจะเลือกได้ค่ะ ยังไงก็อย่างนั้น หลังจากนั้นก็ออกมาจ่ายเงิน 100 บาท คุณตำรวจจะถามว่ามารับเองหรือส่งไปรษณีย์ ถ้าหากใครสะดวกแถวนั้นอาจมารับเองก็ได้ค่ะแต่เราไม่สะดวก เลยให้ส่งมาทางไปรษณีย์ค่ะแล้วก็เสียค่าใช้จ่ายไปค่ะ ตามกำหนดการนั้นจะได้ใบในวันที่---------------- แต่คุณตำรวจบอกว่าถ้าใบรับรองความประพฤติสำหรับศึกษาต่อจะใช้เวลาน้อยกว่าการขอประเภทอื่นค่ะ เดี๋ยวมารอดูกันว่าใบจะมาถึงบ้านเมื่อไหร่
      โดยระหว่างนี้เราก็ทำอย่างอื่นที่ทำได้ค่ะ เช่น ซื้อประกันเดินทาง, คอยเตือนเอกสารจากอาจารย์


ค่าใช้จ่าย
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 36000
ค่าวีซ่า 3500
ค่าประกันสุขภาพ 4500
ค่าที่พัก 17500
ค่าพอกเก็ตมันนี่ 20000+20000 = 40000
                          รวม 101,500 บาท


กิจกรรมการฝึกงาน
            เราจะได้ไปทำโปรเจกต์ร่วมกับนิสิตเภสัชฯ ปี 5 หรือ 6 ของที่โน่น ซึ่งเหมือนกับที่เราทำโปรเจกต์ตอนปี 5 ที่ไทยเลย โดยโปรเฟสเซอร์ที่เราต้องไปทำโปรเจกต์ด้วยเชี่ยวชาญในเรื่องของระบบนำส่งยาที่ใช้ทางผิวหนัง ผลิตภัณฑ์ยาต่างๆที่ใช้กับผิวหนัง  ยกตัวอย่าง เราได้ทำโปรเจกต์ภาคต่อของนิสิตปี 6 เขาทำเรื่องการใช้ชาแทนน้ำในการทำครีมกันแดดอิมัลชั่น ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันได้ทำเรื่องการบรรจุสารใน Ethosome แล้วนำมาใส่อิมัลชั่นเพื่อดู antioxidant activity
           ตารางในการทำ lab ขึ้นอยู่กับตารางเรียนของคู่โปรเจกต์เรา ซึ่งตารางเรียนของพวกเขาแตกต่างจากของไทยอย่างมาก ที่โน่นตารางเรียนจะออกใหม่ทุก 2 อาทิตย์ ต้องคอยมาอัพเดทตลอด เราไม่สามารถวางแผน(ไปเที่ยว)ล่วงหน้านานได้ อย่าหวังว่าจะได้มาทำแลปคนเดียว (ไม่รู้ว่าพี่ปีก่อนหน้าไปทำอะไรไว้ไหม มันถึงไม่ไว้ใจให้เราทำอะไรคนเดียวเลย แม้แต่การชั่ง) ทั้งๆที่เป็นการทำง่ายๆที่ไม่ได้มีความยากหรือเทคนิกอะไรเลยแม้แต่น้อย
           ในการทำงาน อย่าคิดว่าเราจะไปมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นอะไร เพราะเขาวางแพลนมาให้เราหมดแล้วว่าโปรเจกต์นี้ต้องการอะไรและต้องทำอย่างไร มาเป็นขั้นๆให้เสร็จสรรพ เรามีหน้าที่แค่ไปทำตามแพลนในแต่ละวันที่เขาคิดมา เก็บผล คำนวณแล้วก็ส่งให้คู่โปรเจกต์ ในแต่ละวันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด (เอาจริงๆคือไม่ชอบที่ทำเหมือนเราโง่ ทั้งที่จริงๆแล้วเราก็โง่นั่นแหล่ะ 555555)
            ในวันสุดท้ายของการฝึกงาน เขาจะให้เราพรีเซนต์โปรเจกต์ที่เราทำ ในนั้นจะต้องประกอบด้วยหัวข้อทุกอย่างที่เราทำตอนทำโปรเจกต์ที่ไทย โดยพรีเซนต์และทำทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งเราทำรายงานที่ต้องส่งที่มหาวิทยาลัยเป็นภาษาอังกฤษไปด้วยเลย เนื่องจากขี้เกียจต้องมาแปลเป็นไทยอีกครั้ง 
           อ้อ..แล้วเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษนั้น..สำหรับคนที่ระดับภาษาปานกลาง ถ้าน้องผ่านการสอบเข้ามาได้ก็แสดงว่าน้องไปรอด 555 ที่โปรตุเกสเขาใช้ภาษาโปรตุกีส ค่อนข้างชาตินิยมด้วย ภาษาอังกฤษจึงพูดไม่ค่อยได้ มีแค่โปรเฟสเซอร์เท่านั้นที่พูดคล่อง ส่วนคนที่ภาษาดีหรือคิดว่าอยากจะไปฝึกภาษาอังกฤษที่นั่น....ช้าก่อนค่ะ! หยุดความคิดนั้นไว้ อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าคนที่โน่นเขาพูดอังกฤษกันไม่ค่อยได้ วันๆจึงพูดภาษาอังกฤษน้อยมาก เช่น yes, no, OK, I get it, Really?, Are you sure?, thank you, Yes, I understand. เป็นต้น ส่วนในการพูดประโยคยาวๆนั้น....พูดไปแล้วเขาฟังเราไม่รู้เรื่อง เราต้องพูดให้มันง่ายๆเข้าไว้ทีละประโยค อย่าเอาประโยคซ้อน เอาจริงๆ....ส่วนตัวเองคิดว่าไปแล้วภาษาแย่ลง กลายเป็นตอนนี้พูดไม่ค่อยคล่องเหมือนแต่ก่อน พูดประโยคยาวๆไม่ได้ คำศัพท์ยากๆ เป็นทางการนี่ไม่ต้องพูดถึง แต่มันก็แล้วแต่บุคคุลแหล่ะนะ นอกจากนี้เราก็ต้องรู้ศัพท์โปรตุกีสพื้นฐานในการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ได้แก่
        Ola = Hello = สวัสดี
        Desculpe (อ่านว่า "เดสคุปะ") = Sorry = ขอโทษ
      Obrigada(สำหรับผู้หญิงอ่านว่า "โอบริกาดา") = thank you = ขอบคุณ
      Como estas (อ่านว่า "โคโมเอชทาช")= How are you?
      Eu(อ่านว่า "เอ๋ว") = I 
      Ta bom (อ่านว่า "ทาบัยน") = Ok, good และใช้เป็นประโยคคำถามได้ด้วยว่าโอเคไหม








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น