WAT 2014 @ Fowlerville, Michigan


   เนื่องในโอกาสที่ปีนั้นเราหาเงินได้ค่อนข้างเยอะจากการทำงานเพียงแค่งานเดียว ประกอบกับเรายังหาคนเขียนประสบการณ์การทำงานที่ McDonald's ที่อเมริกาน้อย ดังนั้นเราก็จะเขียนเกี่ยวกับการทำงานตำแหน่งต่างๆใน McD อย่างค่อนข้างละเอียดค่ะ เพื่อให้ทุกๆคนได้ทราบว่าเมื่อคิดจะเลือกทำงานที่นี่...จะต้องพบเจอกับอะไรในภายภาคหน้า 555 ถ้าหากคิดว่าอ่านแล้วมันหนักเกินไปหรือทำงานแบบนี้ไม่ได้ เราแนะนำว่าเลือกงานอื่นที่ไม่ใช่ fast food จะดีกว่าค่ะ เพราะพวกนี้เนื้องานคล้ายกันหมด จะแตกต่างกันก็แค่รายละเอียดปลีกย่อยแค่นั้นเอง
ปล. ภาพจะมาจาก iPhone5 และ Canon 60D ปนๆกันไปนะคะ

ปล 2. ไม่ใช่งาน McD ทุกที่นะคะที่ไปแล้วจะได้ชั่วโมงงานเยอะแบบนี้ (เกิน 40 ชม) คือ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายจ้างและผู้จัดการร้านเลยค่ะ ซึ่งมีน้อยร้านมากๆที่จะยอมจ่าย OT (ถ้ามีก็คือจ่ายไม่เยอะ) ของเราคือโชคดีมากที่ได้ไปที่นี่กับนายจ้างคนนี้ แต่ว่าที่นี่เขาไม่รับเด็ก WAT แล้วค่ะ ครั้งเดียวคงเกินพอ 5555


       ต้องเล่าย้อนไปก่อนว่าปี 2013 เราเพิ่งกลับมาจากเมกา เลยคิดว่าปีหน้าไม่ไปละ..เปลืองเงิน(ยังไม่รู้ว่าปี 2014 นั้นปิดเทอมหกเดือน) พอช่วงประมาณตุลาที่เรารู้แน่นอนแล้วว่ามันปิด 6 เดือน เราก็จะไปแน่นอน! แต่ตอนนั้นเอเจนซี่ที่คนอื่นเขาว่าโอเคๆกันก็ราคาสูงหมดแล้ว เราก็เลยหาข้อมูลไปเรื่อยๆแล้วมาเจอเอเจนซี่นี้ เห็นว่าราคาถูกมากๆเมื่อเทียบกับที่อื่นและเวลาช่วงนี้ เราเลยเลือกที่นี่ไป...จ่ายมัดจำ 5000 บาท หลังจากนั้นทางเอเจนซี่ก็บอกว่ามีงาน premium เข้ามาเป็นงานโรงแรมดังมาก ที่พักถูก สวัสดีการดี บลาๆ โฆษณาชวนเชื่อเล่นใหญ่มาก  เพื่อนที่คณะเรา 3 คน ก็เลือกงาน premium นี้ไป ส่วนเราไม่ได้เลือก เพราะตอนนั้นกำลังดูๆงานอื่นๆอยู่ (ในใจนึงคิดว่ามันชวนเชื่อมากเกินไป เพราะบริษัทเล้กแบบนี้ไม่น่าไปแย่งงานมาจากเอเจนซี่ใหญ่ๆได้) ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน...ทางเอเจนซี่บอกว่างาน premium ถูกยกเลิกทั้งหมด และงานธรรมดาก็ไม่มีเข้ามา ต้องรอต่อไป ซึ่งก็ไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ (แดกเงินไปคนละ 5000 ก็ปล่อยทิ้งละสินะ ลองคิดดูว่า 5000 นี่ได้ไปกี่คน!) เพื่อนเรา 3 คนนั้นก็เบนเข็มไปเอเจนซี่อื่นแล้ว ส่วนเรากับรุ่นน้องก็ยังรอต่อไป (เพราะเอเจนซี่อื่นมันแพงแล้ว) ต่อมาประมาณจะปลายมกราแล้วยังไม่มีงานใหม่เข้ามาเลย ตอนนั้นเราเริ่มใจร้อนกลัวไม่ได้ไป เพราะว่าปีนั้นเป็นปีสุดท้ายที่เราจะไปได้ก่อนที่จะไม่ได้ไปจนกว่าจะเรียนจบ เลยเริ่มหาเอเจนซี่ที่ยังเปิดรับอยู่ ณ เวลานั้น แต่ราคามันแพงมากแล้ว และงานก็เหลือแต่งานที่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาเท่าไหร่ สุดท้ายเอเจนซี่โทรมาหาเราว่ามีงานมาใหม่ เป็นงาน McDonald's ที่รัฐ Michigan เขาต้องการคนที่มี SSC อยู่แล้ว ภาษาโอเค พี่เขาเลยโทรหาเราก่อนคนอื่น เพราะเรากับรุ่นน้องตรงคุณสมบัติที่เขาต้องการทุกอย่าง แล้วพี่เขาก็ให้เราไปดูรายละเอียดของงานในเว็บซึ่งเราก็โอเค หลังจากนั้นก็ดำเนินเอกสารไม่นาน ได้ DS2019 เรียบร้อย (สุดท้ายของเพื่อนๆเราที่คณะ คือ 2 คนไปออสเตเรีย อีกคนไปเวิ้คกับเอเจนซี่อื่น)

       ปีนี้เราจองตั๋วเครื่องบินเอง (เดินทาง 3 ต่อ ราคาถูกมากๆ แต่ก็เป็นสายการบินจีนไงจ๊ะ China eastern airline  เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากแม้ตอนกลางคืน แบบอีป้าไม่หลับไม่นอน มารำไทเก๊กอยู่ตรงทางเดิน - - คนคุยกันเสียงดังมาก วอแวที่สุดในปัฐพี ถ้าใครชอบความสะดวกสบายหรูหราอลังการ ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวแนะนำว่าเพิ่มเงินอีกหน่อยซัก 5000 ก็ได้นั่งสบายๆละ แต่เรางก! อันนี้ค่าตั๋วไปกลับ 33000) โดยทางนายจ้างที่อเมริกาขอมาว่าให้ทุกคนไปถึงพร้อมกัน สรุป คือ มีสาว(?)ไทยทั้งหมด 3 คนที่ไปทำงานที่นี่ในเมืองเล็กๆนี้ (อีกคนนึงชื่อ เมย์ เพิ่งมาเมกาเป็นครั้งแรก ไม่มี SSC : เหมือนตอนหลังนายจ้างจะเปลี่ยนใจเรื่องที่ว่าต้องเอาคนที่มี SSC) โดยเรากับรุ่นน้องไปด้วยกันแล้วก็ไปเจอกันที่สนามบิน Detroit (เลือกไฟลท์ให้เวลาถึงพอๆกัน) ปรากฏว่านายจ้างมารับเองเลย มารับพร้อมกับหุ้นส่วนร้านคนสนิท ชื่อ แนน โดยแนนจะเป็นคนดูแลเราเป็นหลัก เพราะแนนเป็นคนดูแลสาขาที่พวกเราจะไปทำ (Fowlerville)

ปล.1 เพิ่งมารู้ตอนไปถึงที่โน่นแล้วว่าจะมีสาวไทยตามมาอีก 1 คนด้วยกันในเดือนเมษายน ทำให้มีคนไทยทั้งหมด 4 คนด้วยกันจ้า
สาวไทย 4 คนแห่ง Fowlerville, MI ส่วนภาพนี้ถ่ายที่ outlet ในเมือง Brighton ค่ะ

       นายจ้างคนดีของเราชื่อ Mike ใจดีมาก เป็นเจ้าของ McD ทั้งหมด 20 กว่าสาขา โดยเขาจะแบ่งให้หุ้นส่วนเป็นคนดูแลในแต่ละที่ไป แต่ละคนอาจจะได้ 4-5 สาขา แล้วแต่ความใหญ่และยุ่งยากของแต่ละสาขา  เขามีเมียเป็นคนจีนเลยเอ็นดูคนเอเชียมาก นายจ้างซื้อของเข้าบ้านให้ทุกอย่าง เตียง หมอน ผ้าห่ม ทีวี ที่ประทับใจสุดคือ ซื้อมือถือให้ 1 เครื่อง(ใช้ในเด็กไทย 4 คน) พร้อมกับตัวปล่อย 4G แบบ unlimited ทำให้พวกเราไม่ต้องซื้อซิมเสียตังเลยจย้าา เล่นเน็ตกันสบายแฮไปเลย เพราะที่ Mc ก็มีไวไฟให้เล่นเหมือนกัน
ปล.2 ตอนหลังที่พวกเราใกล้จะกลับ มีเด็ก wat จากจีนมา ทำให้รู้ว่าสิทธิพิเศษมันต่างกันเข้าไปอี๊ก คือแบบว่าดูแลเด็กจีนดีมากเวอร์ ได้อะไรที่พวกชั้นคนไทยไม่ได้!!
นี่คือตัวปล่อย 4G ที่เราบอกค่ะ สามารถเชื่อมต่อได้มากสุดแค่ 5 เครื่อง
     วันแรกที่ไปถึงนายจ้างพาไปนอน รร.Holiday inn ที่เมือง Howell ซึ่งติดกับเมืองที่เราจะไป (ยังเตรียมที่พักไม่เสร็จ) บรรยากาศตอนที่ไปถึงก็มีก้อนน้ำแข็งเต็มพื้นเต็มถนนไปหมด อากาศหนาวมาก ปรับสภาพไม่ทันค่ะ พอตอนเช้าตื่นมาเราก็ไปเดินเล่นกันที่ Tanger outlet ซึ่งเขาว่าใหญ่ที่สุดในแถบนี้ค่ะ(อยู่ตรงข้ามกับโรงแรม) เดินไปเดินมา..หิมะตก เป็นครั้งแรกในชีวิตค่ะที่ได้เห็นหิมะตก 555 ไม่คิดไม่ฝันว่ามันยังจะตกอีก(ปลายมีนาแล้ว) พอประมาณเที่ยง Mike ก็มารับไปที่พักค่ะ


ที่พัก : ที่พักเป็น motel แต่เป็นห้องใหญ่ มี 1 ห้องโถง 1 ห้องนอน 1 น้ำ 1 ครัว (Mike บอกว่านี่เป็นห้องที่ผู้จัดการโมเตลอยู่มาก่อน) สภาพเก่าหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้ ตอนแรกมันมีเตียง 5 ฟุตอยู่แค่ 1 อัน หลังจากนั้นไมค์ก็เลยพาไปซื้อของที่จำเป็นเข้าบ้าน(ไมค์จ่าย ><) หลังจากนี้ก็มีหลายอย่างที่ใช้ไม่ได้ แต่นายจ้างก็คอยดูแลตลอด ในห้องครัวมีตู้เย็นอันใหญ่ ไมโครเวฟ เตาอบใหญ่ เตาแก๊ส 4 หัว อ่างล้างจาน(ที่ตอนหลังมีปัญหาอุดตันมากๆ) นอกจากนี้ก็มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าด้วยค่ะ
            ในตอนแรกสุดที่ไปถึง ในห้องมีแค่เตียงใหญ่ 1 เตียง โซฟาเก่าๆ และทีวีเก่าๆ(แต่ไม่มีเคเบิล) พวกเราสามคนนอนจึงมานอนในห้องโถงใหญ่ โดยเอาผ้าปูมากั้นเป็นผ้าม่านระหว่างส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น เพราะว่าตอนแรกยังไม่สามารถล็อกประตูใหญ่หน้าห้องได้ ล็อกได้แต่ส่วนที่เข้ามาห้องโถง ส่วนห้องน้ำนั้นกว้างมาก สามารถไปนอนในนั้นได้เป็น 10 คน (ไม่ได้เวอร์) มีอ่างอาบน้ำแบบมีกระจกปิดด้านบนเพราะมีฝักบัวให้อาบน้ำด้วย (ยังหาภาพไม่เจอ)
นี่คือห้องนอนที่ตอนแรกไม่มีใครนอน


นี่คืออ่างล้านจานค่ะ ซึ่งตันในตอนหลัง และก็ไมโครเวฟสีดำด้านซ้ายสุดของ่างล้านจาน

นี่คือตู้เย็น เตาแก๊ส และตู้อบ



นี่คือชานไม้ที่ต่อออกมาจากห้องครัวค่ะ พอตอนเข้า summer ก็มานั่งเล่นตรงนี้ได้ ส่วนภาพนี้ถ่ายกลางเดือนเมษายนค่ะ อยู่ดีๆหิมะก็ตก คือ ปลื้มปริ่มมาก ><

นี่คือสภาพหลังบ้านตอนตื่นมาตอนเช้าค่ะ ขาวโพลน
บรรยากาศเมือง : เงียบมากและเล็กมาก ทั้งเมืองมี Walmart เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ 555 (ต่างกับ Odessa มากเหลือเกิน) ส่วน Downtown ก็มีร้านอาหาร 1 ร้าน ร้านขายของ 3-4 ร้าน ธนาคาร 2 อัน โดยเมืองนี้อยู่ห่างจาก Lansing ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Michigan ไป 30 นาทีหากขับรถ (หลายคนเข้าใจว่าเมืองหลวงของรัฐนี้คือ Detriot แต่ว่าไม่ใช่นะจ๊ะ)


อันนี้คือผังเมือง Fowlerville เล็กมากและไม่มีอะไรเลย

อันนี้ถ่ายที่หน้าร้านอาหารใน Downtown ค่ะ หน้าตาตึกน่ารักมาก

ภาพนี้จะแสดงให้เห็นระหว่าง Lansing และ Fowlerville


ที่ทำงาน : McD ก็มีตำแหน่งหลายอย่างคล้ายๆกันกับ KFC เด็กไทยเราได้ทำทุกอย่างยกเว้นเป็น แคชเชียร์ (ไม่รู้มันจะหวงไปไหน แต่พอเด็กจีนมามันเสือกให้ทำซะงั้นอะ! ทั้งๆที่ภาษาแย่กว่าเรา /มั่นหน้ามาก 555) มาพูดถึงรายละเอียดของแต่ละงานกัน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นต้องอธิบายก่อนว่าที่ McD จะมีเมนู breakfast กับ เมนูปกติ โดยอาหารเช้าจะขายตั้งแต่ตีห้าถึง 11 โมง หลังจากนั้นก็จะเข้าเมนูปกติ ที่โน่นเมนูอาหารเช้าจะแตกต่างกับปกติอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นในตำแหน่งต่างๆที่ต้องข้องเกี่ยวกับเมนูอาหารก็จะต้องรู้รายการอาหารทั้งหมด
นี่คือ McD สาขาที่เราทำค่ะ ถ่ายมาจากฝั่งตรงข้ามถนน

     เมนูตอนเช้า (ตอนที่เราไปยังมี Bagle อยู่ แต่หาในเว็บไม่มีแล้วจ้า) ปล.บิสกิตของเคเอฟซีก็ยังคงอร่อยกว่าแน่นอน 555 แต่ซอสเซจอร่อยมาก เป็นหมูด้วย






น่ากินทั้งนั้น
     เมนูปกติ

 


แซนด์วิชไก่ย่างนั้นมันดีมากค่ะ เลิศเลอเพอร์เฟกต์ มันคืออกไก่ย่าง ไม่มีน้ำมัน อร่อย ไขมันน้อย

     ขนมหวาน




น้ำราด Sunday ทุกอันนั้นหวานมากค่ะ ส่วนมิลค์เชคก็หวานมากๆทุกรส(ที่เราเคยชิม)เลย ส่วนที่แนะนำว่าห้ามพลาดเด็ดขาดก็คือ Strawberry creme pie มันอร่อยมว๊ากกกก ส่วนพาร์เฟต์นั้นก็ดีค่ะ แต่โยเกิร์ตก็ยังหวานอยู่ สุดท้ายคือคุกกี้ก็อร่อยดีค่ะ หวานปกติ

   สุดท้ายคือ McCafe ค่ะ จริงๆมีเมนูเยอะกว่านี้มาก แต่เราเอามาแค่อันที่เราคิดว่าอร่อย 555

 ที่อร่อยคือสมูทตี้ค่ะ รสชาดดี กินเกือบทุกวันเลย


อันนี้เมนูโปรดเราเวลาหนาวๆค่ะ หวานน้อย ได้รสชาดของนม+ช็อคโกแลต ไม่เข้มมาก กำลังดี แต่ถ้าคนที่อยากได้รสของช็อคเข้มๆไม่น่าจะชอบค่ะ
ตำแหน่งของคนทำงานที่ร้าน(ไม่รวมผู้บริหารนะจ๊ะ)
  1. ผู้จัดการใหญ่ : คนนี้มีเพียงคนเดียว คือคนที่คุมร้านทั้งหมดค่ะ ส่วนใหญ่จะอยู่แต่ในห้องทำงาน มีแค่บางวันที่จะมาช่วยทำงานในฟลอร์
  2. ผู้จัดการทั่วไป : พวกนี้ใส่ Blue shirts ทั้งหลายค่ะ โดยที่ที่นึงก็จะมีได้หลายคน แล้วแต่ขนาดของร้านและจำนวนลูกค้าค่ะ โดยในกะกะนึงก็มีเสื้อฟ้าได้หลายคนค่ะ ที่ร้านนี่มีเป็น 10 คนค่ะ แต่เขาจะอยู่กันเป็นกะๆ ในแต่ละกะเราเคยเจอมากสุด 4 คน พวกนี้ก็จะมาทำงานในฟลอร์เหมือนเราค่ะ และก็จะเป็นคนแบ่งหน้าที่ต่างๆให้กับคนในร้านว่า ตอนนี้คุณต้องทำตำแหน่งไหน เป็นคนแก้ปัญหาหน้างานที่เกิดขึ้น อย่าคิดนะว่าพวกนี้จะแก่กว่าเรา หลายๆคนนี่จบไฮสคูลมาทำโดยไม่เรียนต่อก็เยอะ ถ้าตั้งใจไม่นานก็สอบได้แล้ว
  3. หัวหน้าคนงาน(crew chief) : พวกนี้ใส่ Red shirt จะเป็นรองมาจากพวกเสื้อฟ้า เขาสามารถสอนพนักงานคนอื่นๆทำงานในร้านได้ จะได้เรทเงินสูงกว่าพวกพนักงานปกตินิดหน่อย แต่ความรับผิดชอบไม่มากเท่ากับผู้จัดการ
  4. พนักงานทั่วไปในร้าน(crew/team member) : ทำทุกอย่างตามรายละเอียดด้านล่างค่ะ
หน้าที่การทำงานของพนักงาน
  1. แคชเชียร์หน้าร้าน : ง่ายเหมือนเดิม คือ รับแต่ออเดอร์ข้างหน้าร้าน จัดของที่ทำเสร็จแล้วให้ลูกค้า ทำของหวานหน้าร้าน McCafe ต่างๆนาๆ ที่ยากสำหรับตำแหน่งนี้คือหาเมนูที่หน้าจอไม่เจอ 5555 คือต้องเข้าใจก่อนว่าเมนูที่แมคมันเยอะมากๆ แล้วไอ้หน้าจอที่ใช้กดเนี่ยมันก็เล็กๆ ดังนั้นเมนูมันจะไปซ่อนๆอยู่ บางคนทำงานมา 6 เดือน ก็ยังไม่รู้เลยว่าเมนูบางอย่างต้องกดตรงไหน
  2. แคชเชียร์ไดรฟ์ธรู : อันนี้ยาก ต้องฟัง ต้องพูด ต้องทอนเงิน ภาษามาค่ะ! อันนี้เคยลองทำอยู่ครั้งนึงค่ะ บาย
  3. runner : ตำแหน่งนี้คือ packer ที่ kfc นั่นเอง ก็ต้องจัดของที่ทำเสร็จแล้วตามออเดอร์แต่ละราย(ดูที่มอนิเตอร์) ต้องไว ไม่หยิบมั่ว ภาษาต้องโอเคเพราะอยู่ในส่วนหน้าร้าน โดนลูกค้าเรียกประจำค่ะ งานนี้ก็สนุกดีค่ะ ตื่นตัวดี ต้องกระตือรือร้นตลอดเวลา ยิ่งเวลาคนเยอะๆต้องห้ามลนเด็ดขาด ทำน้ำ ไอศครีม หยิบของห้ามพลาด ไม่งั้นจะทำให้ทุกอย่างช้าลง ตอนไหนแคชเชียร์ไดรฟ์ธรูยุ่งๆกับการรับออเดอร์อยู่ เราก็ต้องเป็นคนส่งของให้ลูกค้าที่หน้าต่าง หรือว่าถ้าทำของไม่ทัน เราก็ต้องวิ่งเอาไปให้ลูกค้าที่รถค่ะ พอตอนคนไดร์ฟธรูไม่มี เราก็ไปช่วยแพคของหน้าร้าน เดินร่อนไปทั่วร้านเลยจ้ะ ถ้าว่างมากๆก็จะโดนใช้ไปเก็บโต๊ะ ดูแลห้องน้ำ ดูแลความสะอาด บลาๆ ส่วนเทคนิกในการล้างอุปกรณ์ครัวต่างๆก็เหมือนกับ KFC ที่เคยบอกไปแล้วค่ะ(สามารถไปดูได้) คือ เปิดน้ำยาล้างจานแบบน้ำร้อนจัดแล้วแช่อุปกรณ์ต่างๆไว้ก่อนซัก 5-10 นาที แล้วแต่ความสกปรกของมันค่ะ หลังจากนั้นแล้วเราค่อยลงมือมาขัด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเราประหยัดแรงในการขัดและไม่เจอความร้อนสูง กรณีที่เราแช่แล้วมาขัดก็ยังไม่ค่อยออก พวกนั้นเราจะจับแช่น้ำยาล้างจานร้อนๆรอบ 2 ค่ะ
  4. สาวจิปาถะ : หน้าที่ประจำคือทอดฟราย อบพาย จริงๆมันไม่มีตำแแหน่งนี้นะ แต่อย่างที่รู้ว่าฟรายของแมคนั้นขายดีเทน้ำเทท่าแม้จะไม่ลดราคา 50% เหมือนบ้านเรา ดังนั้นเมื่อเข้าเวลาที่ขายฟราย...เหมือนผีปอบลงค่ะ คนสั่งกันแบบไม่เว้นเลย บางคนสั่งชุดปกติ เพิ่มฟราย XL 2 ถ้าหากไม่มีคนประจำเตาทอดและตักฟราย...มันจะไม่ทันขายแน่นอน ขนาดว่ามีคนทำแล้วบางวันก็ยังไม่ทัน ทั้งนี้ต้องกะปริมาณดีๆเพราะถ้าทอดมากไปก็จะเหี่ยวแล้วก็ต้องทิ้งลงถังขยะเลย พอคนซาลงแล้ว..ตำแหน่งนี้ก็จะโดนไล่ไปทำอย่างอื่นเหมือน runner ส่วนเมนูตอนเช้านั้นสาวจิปาถะก็จะต้องทอดแฮชบราว อุ่นแพนเค้ก อุ่นบิสกิต อุ่นขนมซินนามอน
  5. prep :  มีแค่ตอนเปิดร้านค่ะ(รุ่นน้องเราไปทำตั้งแต่ตี 4 ร้านเปิดตี 5) ก็เตรียมทำโยเกิร์ตพาเฟ่ แล้วก็ห่อเบอริโต้ ทำสลัดต่างๆ เตรียมผักใส่กระป๋องไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็ไปเข้าไปเอาของแช่ที่อยู่ในห้องแข็ง มาสต็อกไว้ฟรีซเซอร์ธรรมดาสำหรับใช้วันพรุ่งนี้ แล้วก็ทำงานสต็อกของในร้านทั้งหมดให้เรียบร้อย พอทำงาน prep เสร็จแล้วก็จะกลายเป็นสาวจิปาถะเช่นกัน
  6. table : คนทำเบอร์เกอร์นั่นเองค่ะ อย่าคิดว่าง่ายนะคะ จำบานตะไทเลย 555 ทั้งเมนูตอนเช้าและตอนปกติ แต่ละช่วงมีเมนูเบอร์เกอร์เกือบ 10 อย่างได้ แต่สนุกมากค่ะ ถ้าหากใครจำไม่ได้มันก็จะมีแผ่นบอกอยู่ที่โต๊ะนั่นแหล่ะ แต่ว่ามันจะทำช้าลงเยอะเลย เพราะงั้นก็รีบๆจำนะจ๊ะ จำไวก็ทำงานได้ไวขึ้น โดยส่วนตัวเราถนัดเมนูปกติเพราะว่าได้ทำช่วงเช้าอยู่ไม่นานเองค่ะ และก็จะต้องเช็คของทำเบอร์เกอร์ในชั้นด้วยว่าใกล้หมดรึยัง เพื่อให้กริลเตรียมทำต่อไป หน้าที่นี้คนในครัวชอบแย่งกันทำเพราะว่ามันไม่ต้องเจอความร้อนเหมือนหน้าเตา แต่ไม่ใช่ว่ามันจะปลอดภัยนะ มันจะมีเตานึ่งขนมปังที่ใช้ทำ Filet o Fish ซึ่งรุ่นน้องเราทะเลาะกับคนที่ทำเบอร์เกอร์ด้วยกันแล้วไปโดนอีถาดของเตานี้เข้า(หลังจากที่พึ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ) ตอนแรกมันเป็นแค่แผลผุผอง ถุงน้ำ แต่หลังจากพอมันแตกปุ๊บแผลก้เริ่มดูไม่ดี เลือดผสมน้ำเหลืองไหลเยอะมาก เราเลยไปแจ้งหัวหน้าผู้จัดการ หลังจากนั้นก็โดนพาไปหาหมอ(อันนี้ทางบริษัทจ่ายให้หมดเลย รุ่นน้องบอกว่าประมาณ 1000 กว่าเหรียญได้) หมอบอกว่านี่มัน second-third degree burn เลยนะ! ต้องกินยาและทายาอยู่นานกว่าจะหายเลยอะ ดังนั้นระวังกันด้วยเด้อ นอกจากนี้ก็จะมีเครื่องปิ้งขนมปังของเบอร์เกอร์ทั่วไป แต่อันนั้นไม่มีอันตรายอะไรเท่าไหร่(แต่ก็อย่าแหย่มือลงไปแล้วกันนะจ๊ะ)
    นี่คือ bun steamer เจ้าปัญหา รอบนอกเครื่องโดนได้ มันแค่อุ่นๆ แต่เห็นด้ามจับดำๆนั่นไหม? ดึงออกมามันจะเป็นถาดใส่ขนมปัง ซึ่งถาดนี่แหล่ะที่ร้อนมากและทำให้ burn ค่ะ
    นี่คือแผลเบิร์นที่ว่าค่ะ น่ากลัวไหม? ยังไงก็ระวังกันนะจ๊ะ
  7. grill(จริงๆแล้ว grill ต้องมาก่อน table ค่ะ แต่มีปัญหาในการจัดเรียงไฟล์) : ตำแหน่งนี้อยู่หน้าเตากริลและเตาทอดตลอดเวลา! อย่าคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้ชายค่ะ เพราะสาวๆได้ทำกันมาหมดทุกคนแล้วววว คือ มันเป็นงานไม่หนักนะ แต่ร้อนมาก และต้องรู้จักบริหารเวลาของให้ดี

ภาพนี้คือเตากริลค่ะ เราต้องคุม 2 เตานี้เลยคนเดียว แต่ถ้าเป็นช่วงเช้าที่ยุ่งๆก็อาจจะเป็นเตาละคนค่ะ



ภาพนี้บรรยายความเสี่ยงของมือ ตอนเอาเนื้อลงเตาได้อย่างดีค่ะ โดยเราต้องทำให้เร็วและทำให้ไวไม่อย่างนั้นอาจโดนน้ำมันที่ติดอยู่ที่เตาดีดใส่ได้ แล้วก็ต้องระวังไม่ให้มือโดนเตาด้วย 




ภาพนี้คือเตาทอดค่ะ ไม่ต้องมีคนเฝ้า เพราะมันใช้เวลาทอดนาน พอมันเสร็จเมื่อไหร่มันก็ร้องเตือนเอง ไอ้พวกของทอดนี่ก็ต้องระวังค่ะ ตอนเอาของออกจากตะกร้ามักมีคนโดนตลอด ได้ลายสักกันไปเป็นแถวๆเลยทีเดียว
     หน้าที่ของกริลในตอนเช้านี่ต้องทำของเยอะมาก ได้แก่ scramble egg, egg white, ไข่เจียวพับ, ไข่ดาว, canadian bacon, bacon, sausage ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีมากๆ โดยเฉพาะไอ้พวกไข่ๆนี่จะใช้เวลานาน ของขาดทีนึงนี่ต้องรอกันไปหลายคิวเลย แต่ตอนเช้าจะไม่มีของทอดที่ฝั่งกริลต้องรับผิดชอบ ต่อมาพอประมาณ 10.30 ก็ต้องเริ่มทอดของแล้ว เพราะของทอดใช้เวลานาน แล้วจะต้องตรวจสอบอุณหภูมิด้วยว่าถึงที่กำหนดหรือยัง(ผู้จัดการจะเป็นคนมาจิ้ม) และก็ทำการเคลียเตา ส่วนมากเราจะเหลือไว้เตานึงเพื่อเอาไว้ใช้ทำจองตอนเช้าเผื่อมีอะไรหมดขึ้นมา(เสื้อแดงคนนึงให้ทริคมา) ในส่วนของตอนบ่ายที่ต้องใช้เตาก็จะมี เนื้อ Quater, เนื้อ Regular, Bacon, อกไก่ ส่วนที่ต้องทอดก็จะมี Mcchicken, Mcnugget, Filet(ปลาชุบแป้งทอด ออกเสียงว่า ฟิ-เล่), Crispy chicken
ชั่วโมงการทำงาน : วันแรกที่ไปถึง เราก็ถามนายจ้างว่าพวเราขอทำงาน 2 ได้ไหม? ไมค์ก็เลยบอกว่าจะไปทำงาน 2 ทำไม ทำที่นี่แหล่ะ อยากทำมากแค่ไหนทำไปเลย!!! พวกเราก็งงๆว่าแบบ...มันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ ให้ทำงานมากแค่ไหนก็ได้ ตอนแรกเราทำวันละ 12 ชม 6 วัน/สัปดาห์ แต่พอทำไปได้ไม่กี่อาทิตยก็พบว่ามันเหนื่อยมากๆ สุดท้ายเราเลยขอทำแค่ 5 วัน/สัปดาห์(น้องคนนึงทำ 6 วัน อีกคนทำ 4 วัน ส่วนคนที่ตามมาทีหลังทำ 5 วัน แต่วันนึงแค่ 8-9 ชม.) ซึ่งเราทำกะปิดร้าน คือ ตั้งแต่บ่ายโมง-ตี 1 ที่นี่เรทปกติได้ 7.45$ ส่วน OT ได้เรท 11$ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
อาหารการกินที่ทำงาน : ดีอีกแล้ว เพราะว่ากินฟรีวันละ 2 มื้อ!!! สามารถกินอะไรก็ได้ ไม่ยั้ง แดกกันทุกอย่าง 5555 แต่ตอนใกล้จะกลับเขามาเปลี่ยนกฏว่าต้องกินอยู่ใน 8 ดอลต่อ 1 มื้อ(น่าจะเพราะพวกเราแดกกันเยอะกินไปนั่นเอง - -) โดยเวลาพักกินข้าวจะให้เวลา 1 ชม.(รวม 2 รอบ) ของเราไม่มี clock in-out นะ เป็นสัญญาใจล้วนๆ ที่แปลกก็คือ สำหรับพวกที่สูบบุหรี่สามารถไป smoke break ได้ ไม่เกิน 5 นาทีต่อกะ

การเดินทางไปทำงาน : ช่วงแรกเดินไป ขากลับก็ติดรถคนอื่นมา เพราะเมืองมันเล็กมาก เขามาส่งพวกเราได้ และก็นั่ง l.e.t.s. bus(อธิบายด้านล่าง) พอกลางๆเมษา เราเปลี่ยนมาทำกะปิดร้าน ก็เลยใช้บัสต่อไม่ได้ นายจ้างเลยซื้อจักรยานให้ หลังจากนั่นก็ปั่นไปกลับสบายใจ โดยเราทำตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงตี 1 แต่ไม่เคยได้กลับแค่ตี 1 เลย เลทจากนั้นตลอดเวลา เพราะเก็บร้านเหนื่อยและงานเยอะมาก(แต่ที่เลือกผลัดนี้เพราะว่าได้อยู่กับคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจ เขาเห็นหัวเรา เห็นความสำคัญของเรา)
นี่คือจักรยานประจำตำแหน่งของเราค่ะ มีเกียร์ด้วย (ไม่เคยขี่จักรยานมีเกียร์มาก่อน บอกเลยว่ามั่วมากค่ะ555) อันนี้คือขี่ไปเอาของที่ไปรษณีย์ค่ะ
นี่คือขี่จักรยานไปเที่ยวในเมืองค่ะ
การเดินทางอื่นๆ : ที่เขตนี้มีสิ่งประหลาดที่เรียกว่า l.e.t.s. bus ซึ่งเป็นบัสที่ต้องโทรจองเหมือนแท็กซี่ ต้องโทรจองล่วงหน้าก่อน 1 วัน และไม่ใช่ว่าอยากจะไปไหนก็ได้ตามสบาย เพราะว่ามันเดินทางได้แค่ใน livingstion county (ไปไม่ถึง lansing เมืองหลวงของรัฐ) และมันเดินทางได้ถึงแค่ 5-6 โมงเย็น เมืองติดกันทางด้านขวาชื่อ howell มี outlet mall ที่เขาว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในหลายๆรัฐ ถัดไปอีกเป็น Brigthon มี bowling,cinema mall เยอะแยะมากมาย ถ้าหากจะไปเมืองหลวง ต้องติดรถคนอื่นไป คนที่ทำงานไรงี้ เราหารถสาธารณะไปเองไม่ได้ แต่ขากลับสามารถเรียกแทกซี่กลับมาได้ประมาณ 40$
นี่คือ l.e.t.s. bus ค่ะ รถมีหลายขนาดมากๆ
นี่คือแผนที่การเดินรถค่ะ โดยลูกศรแต่ละสีจะแสดงถึงราคาที่แตกต่างกัน

อากาศ : ไปช่วงแรก ปลายมีนา หนาวมากกกกกกกก อากาศแบบต่ำกว่า 10 C ตลอด บางวันติดลบ และลมแรงมาก ขนาดใส่เสื้อขนเป็ดยังเอาไม่อยู่ เวลาทำงานนี่ต้องใส่เสื้อ 2 ชั้น ขนาดฝรั่งเองยังไม่สู้เลย แล้วอากาศแปรปรวนมาก ช่วงกลางเมษา หิมะเสือกตก งงไปอีก ช่วงพฤษภาฝนตกเยอะมาก แต่อากาศก็ยังหนาว พอเข้ามิถุนาเริ่มร้อนละตอนกลางวัน 15-20 C ตอนกลางคืนก็ไม่หนาว แมลง-ยุงเยอะมาก เหมือนอากาษปกติบ้านเราเลย แต่ไม่ร้อนเท่า

คน: ที่นี่เจอแต่คนขาว คนดำน้อยมากกกกจริงๆ จีนเจอบ้าง พูดภาษาอังกฤษกันหมด ไม่มีภาษาอื่นเลย คนก็มีทั้งใจดีและนิสัยแย่นะคนขาวอะ เฉพาะวัยรุ่นเมกาผู้หญิง ที่แบบว่าคอยเหยียดเราไรงี้่ ว่าพูดภาษาเขาไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เป็นกะเหรี่ยง  แต่วัยรุ่นผู้หญิงวัยน่ารักๆกับพวกเราก็มีเหมือนกัน (แน่นอนว่าทุกที่ก็ต้องมีทั้งคนดีและไม่ดีเนอะ)


การใช้ภาษา: อย่างที่บอกไปข้างบนแล้วค่ะว่าทั้งเมืองนี้มีคนไทยอยู่ 4 คนเท่านั้นแล้วเราก็ไม่ได้เข้ากะเดียวกันตลอด บางวันเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงในที่ทำงาน ดังนั้นเราจึงต้องพูดภาษาอังกฤษล้วนๆค่ะ ได้พัฒนาภาษาจริงๆ บางทีที่อยู่ในร้านแล้วพวกเราพูดไทยกัน ผู้จัดการก็จะบอกให้พูดภาษาอังกฤษ(มันจะได้รู้ด้วย 55) แนะนำว่าถ้าใครอยากฝึกภาษาจริงจังให้ไปเมืองบ้านนอกๆ คนไทยน้อยเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เพราะเราจะไม่มีคนไทยให้พูดด้วยเลย อ้อ..นอกจากนี้พวกเราคนไทยเวลาอยู่ด้วยกันก็พูดกันเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ไม่มีใครด่าใครว่ากระแดะ ก็ได้ช่วยกันฝึกภาษาไปในตัวค่ะ...อย่าพูดถึงตอนเมาว่าจะพูดไฟแลบขนาดไหน 5555 ส่วนตัวเราได้ภาษาอังกฤษอยู่ก่อนแล้วก่อนมา WAT แต่พอมาครั้งนี้ปุ๊บคือฟังพูดปร๋อมาก (แต่พอกลับมาไทยได้ 1 ปี ภาษาก็กลับมาเท่าๆเดิม -0-)

ปัญหาที่เจอที่ทำงาน : ตอนแรกพวกเราทำงาน 8 โมงถึง 2 ทุ่ม ทำไปทำมาก็มามีปัญหากับผู้จัดการกะเช้าคนนึง นางชอบจิกใช้คนไทยให้ทำงานแรงงานที่พวกมันไม่อยากทำ ประกอบกับเราไปสนิทกับคุณลุงคนนึงที่ประจำอยู่ที่กริลในตอนเย็น(ทำงานเย็น-ค่ำจนถึงปิดร้าน)ซึ่งคุณลุงก็ประทับใจพวกเราเช่นกัน เพราะพวกเราทำงานหนัก ไม่ต้องรอให้สั่งก็ทำ มีสมอง! ว่านอนสอนง่าย 55 สุดท้ายเรากับรุ่นน้องก็เลยขอย้ายไปกะปิดร้านแทน โดยเริ่มงานตั้งแต่บ่ายโมง-ตี1 ตามที่ได้บอกไว้ด้านบน ดังนั้นช่วงเวลาที่เราจะเจอผู้จัดการขี้จิกคนนั้นก็น้อยมากค่ะ บางวันก็ไม่เจอกันเลย บางวันก็ 1-3 ชม

ปัญหาที่เจอที่บ้านพัก :
  1. โดนขโมยของไปรษณีย์!!!  เราชอบสั่งของมาจาก Amazon เพราะว่ามันถูกมากค่ะ ซึ่งทาง motel จะมีตู้ไปรษณีย์เล็กๆอันเดียวไว้รับของ(ทุกคนใช้ร่วมกัน) มีแค่ผู้ส่งของบางรายเท่านั้นที่จะเอาของมาวางไว้ที่ประตูห้อง ของที่หายก็มี เสื้อแขนยาว, หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ค่ะ รวมๆแล้วก็เกือบ 100$ ได้ ตามจับมือใครดมก็ไม่ได้ค่ะ หลักฐานก็ไม่มี (สังคมที่อยู่มันไม่โอค่ะ)
  2. เสียงดังตอนกลางคืน(ไม่ตลอด) ในบางคืนจะมีบางห้องเหมือนเมายาหรือเมาเหล้านี่แหล่ะค่ะ ตะโกนโวยวายเสียงดัง บางทีก็แอบน่ากลัวค่ะ แต่ก็ไม่เคยมีใครมายุ่งอะไรกับพวกเรานะคะ จะมีก็แค่วันชาติ เพื่อนบ้านเอาไฟเย็นมาให้เล่นค่ะ 55
  3. อ่างล้างจานตัน! พวกเราก็คิดว่าพวกเราเอาอาหารทิ้งข้างนอกก่อนล้างจานดีแล้วนะคะ แต่สุดท้ายมันก็ตัน พวกเราพยายามแก้ไขเองโดยการไปซื้อน้ำยาทะลวงมาใช้ค่ะ 555 ได้ผลอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วก็กลับมาตัน...ถาวรเลย อันนี้เป็นสาเหตุที่เราไม่ได้ประกันบ้านคืนค่ะ
นี่คือตู้จดหมายของ motel ค่ะ

การใช้ประกันสุขภาพ : วันสุดท้ายของประกันสุขภาพ(5 กรกฎา) เราต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเนื่องจากเราไปทำอะไรบางอย่างมา จนทำให้เกิดเท้าซ้น?และทนความปวดไม่ไหว โดยเรา text แจ้งแนนไปว่าให้ใครมาพาไป รพ.ที สุดท้ายนางส่งหัวหน้าผู้จัดการมารับเรา ขั้นตอนก็ง่ายมาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ไปทำประวัติและแจ้งว่ามี health insurance มาด้วย โดยเอกสารที่ต้องใช้ก็มี passport, เอกสารประกัน แค่นี้เอง หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็เป็นคนจัดการเอง พอหาหมอเสร็จออกมา เราไม่ต้องจ่ายเงินซักกะดอลเดียว
ปล. ตอนแรกเราคิดว่ามันต้องมีอะไรหักแน่ๆ เพราะตอนเดินลงน้ำหนักเต็มเท้าจะได้ยินเสียงกร๊อบๆ แต่หมอ X-ray ดูแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเลย แค่เลือดคั่งเท่านั้น (ใช่เหรอวะ??)
เท้าด้านขวาคือข้างที่มีปัญหาค่ะ จะเห็นว่าตรงกลางเท้าบวมกว่าข้างซ้ายมาก
นี่คือตอนที่ไปโรงพยาบาลค่ะ ระหว่างรอเจอหมอพยาบาลก็เอาถุงเย็นมาประคบให้
หลังจากหาเสร็จคุณหมอก็แค่พันผ้าให้ บอกให้ประคบน้ำแข็งบ่อยๆตลอดวัน ให้ยกขาขึ้นที่สูง จอบอ
สิ่งที่ประทับใจ1 : เราได้คุณพ่ออเมริกามาค่ะ ชื่อโจ อายุประมาณ 50 กว่าๆ เจอกันที่ McD นี่แหล่ะค่ะ โดยโจทำงานกริลในกะเย็น-ปิดร้าน และเขานี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลที่เรากับรุ่นน้องย้ายมาทำกะปิดร้าน ปกติแล้วโจจะเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้เพราะว่าเขามีมาตราฐานของตนเองสูง ทำงานเก่งและไวมาก จริงๆแล้วความสามารถในการทำงานขนาดนี้สามารถขึ้นเป็นผู้จัดการได้เลย แต่เขานั้นแก่เกินไป(เพิ่งมาทำได้ไม่นาน) ซึ่งโจจะมีปัญหาเวลาทำงานกับพวกเด็กไฮสคูลเมกา เพราะเด็กพวกนั้นมักทำงานไม่สะอาด ไม่เป็นระเบียบ ทำแบบส่งๆไปที ตอนแรกที่เมเนเจอร์จัดให้เราทำกับโจ พวกเราก็กลัวๆเพราะว่าโจหน้าดุ ไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย แต่พอทำไปทำมาก็รู้จักกันมากขึ้น เข้าขากันเรื่องงานได้ดีมาก เพราะเราทำงานดี ส่วนรุ่นน้องเรานี่เป็นระเบียบมาก(ออกแนวย้ำคิดย้ำทำนิดๆ 55) หลังจากนั้นพวกเราก็เลยย้ายมาทำกะที่ต้องปิดร้านตลอด โดยวันไหนที่เราไม่ได้เอาจักรยานมาทำงาน โจก็จะไปส่งพวกเราที่บ้านพักตลอด หลังจากนั้นพวกเราก็มีไปเที่ยวบ้านโจ ทำอาหารไทยให้กิน ภรรยาโจทำพิซซ่าให้กินบ้าง โดยโจมีภรรยาที่น่ารักพร้อมกับหมาแก่ 1 ตัวค่ะ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากค่ะ ซึ่งเวลาอยู่กับโจนี่สบายใจเหมือนอยู่กับพ่อเลยค่ะ ไม่เคยต้องกังวลเรื่องฉันท์ชู้สาวเลย ตอนที่พวกเราจะกลับโจก็ร้องไห้หนักมากค่ะ โดยเราให้คำสัญญาไว้่ว่าเราจะกลับไปหาโจแน่นอน ซึ่งเราจะทำมันให้ได้ค่ะ แม้ว่าตอนนี้จะทำเบอร์ของโจหายไปเพราะมือถือตกน้ำ เหลือเพียงแต่คอนแทกในเฟสบุคซึ่งโจไม่เคยเข้ามาตอบเลย T T ซึ่งหลังจากเรากลับไทยมาไม่นานโจก็ลาออกจากร้านค่ะ และมีผู้จัดการหลายคนก็ออกมาด้วยเหมือนกัน โจออกเพราะพวกเราค่ะ โจบอกว่าถ้าพวกเราไปก็ไม่มีใครที่ทำงานกับโจได้อีกแล้ว และโจก็ทนทำไปโดยที่ต้องคิดถึงพวกเราไม่ได้ค่ะ แต่ผู้จัดการคนอื่นๆนี่ไม่ใช่เพราะเราน้า
นี่คือพิซซ่าที่ภรรยาของโจทำให้กินค่ะ หน้าเยอะมาก ขอบอร่อยยย
นี่คือตอนที่เราเท้าเจ็บและโจไปรับมาทำกับข้าวค่ะ เราแวะมาซื้อของที่ Walmart กันก่อน เราเดินเองไม่ได้เลยต้องใช้รถเข็นค่ะ
นี่คือภาพวันสุดท้ายที่ได้เจอกัน ก่อนเราจะเดินทางกลับไทยค่ะ (แนนขับรถมาส่งที่สนามบิน) โจร้องไห้เลยค่ะ

สิ่งที่ประทับใจ2 : เรื่องนี้เราภูมิใจนำเสนอมากค่ะ ต้องทำใจหน่อยเพราะเราสายแดกจริงๆ 555 มีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนึงค่ะ เป็นแบบ fusion อยู่ที่ Okemos(ติด Lansing) ชื่อร้าน Maru sushi ตอนแรกสุดคือ Mike กับภรรยาพาพวกเราเด็กไทยไปกินต้อนรับค่ะ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ติดใจมาตลอด ไปเมืองนั้นทีไรต้องไปกินทุกครั้ง คือ มันอร่อยมากจริงๆค่ะ ขนาดกลับไทยมายังไม่เคยเจอ fusion roll ที่ไหนที่อร่อยแบบนี้มาก่อน อร่อยทุกเมนูที่สั่งมากินเลยค่ะ
ปล.เผื่อใครได้ไป Michigan ร้านมันมีอยู่ 4 สาขานะคะ
http://marurestaurant.com/
ราคาอาหารไม่แพงนะคะ ถ้าเป็น roll จะตกอยู่ที่ประมาณ 10-12$ ต่อจาน และบอกเลยว่าจานนึงเยอะค่ะ




อันนี้เป็นหน้าร้านสาขาที่ Okemos และพวกเรากับนายจ้างค่ะ








 อร่อยทุกอย่างค่ะ ใครมีโอกาสแล้วต้องไปลองนะคะ










     มาถึงช่วงสุดท้ายที่ทูกคนอยากจะรู้กันมากเหลือเกิน นั่นคือ เรื่องเงินนั่นเอง

ค่าใช้จ่าย
  1. ค่าโครงการ 42,900 บาท
  2. ค่าวีซ่า 6,000 บาท
  3. ค่าตั๋วเครื่องบิน 33,000 บาท
  4. pocket money 30,000 บาท
  5. ค่าที่พัก สัปดาห์ละ 75$ x 16 สัปดาห์ = 42,000 บาท
  6. ซื้อ note book 800$ = 28,000 บาท
  7. ค่าเที่ยว-กิน-ซื้อของอื่นๆ 500$ = 17,500 บาท
      รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 199,400 บาท
รายได้

  1. รายได้จาก McD ดูจากเช็คใบสุดท้ายที่ได้ คือ 7,243.69 USD = 253,505 บาท (นี่คือรายได้ที่โดนหักภาษี 2 อย่างไปแล้วค่ะ)
  2. Tax refund มี 2 ใบ ได้เท่ากับ = 160$ + 600$ = 26,600 บาท (หักค่าบริการ tax refund และค่าขึ้นเช็คไปแล้่ว)

     รวมรายได้ทั้งหมด = 280,000 บาท
     ดังนั้น รายได้จริงๆ(net ที่หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว) =  280,000-199,400 = 80,600 บาท

     สรุปแล้ว ถ้าถามว่าได้เงินมั้ย ก็คือ ได้ แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเราและงานที่ได้ด้วย จะเห็นว่าถ้าเราไม่ซื้อโน้ตบุ้คเราก็จะมีเงินกลับบ้านมาอีกเกือบสามหมื่นหรือถ้าหากเราซื้อของไร้สาระให้น้อยลงก็จะมีเงินเก็บมากกว่านี้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะทำเหมือนเดิม เพราะนี่คือของที่เราอยากได้และมันเป็นเงินที่เราหาได้มาด้วยแรงกายของเรา ดังนั้น อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์ในการมา work and travel ของเราคืออะไร มาหาเงิน มาเที่ยว มาเอาประสบการณ์ มาเอาภาษา ฯลฯ ฝันอะไรไว้ก็ไปให้ถึง ถ้ามันไม่ได้ทำให้พ่อแม่หรือใครต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่เราทำ อย่าเป็นเหมือนเราที่มานั่งเสียใจทุกวันนี้เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำและมันก็อาจจะไม่มีโอกาสแล้ว

ปัจจัยที่ทำให้ได้เงินมากหรือน้อย
  1. สถานที่ทำงานหลักที่เราทำสัญญาก่อนไป : rate เท่าไหร่ ค่าที่พักเป็นยังไง สวัสดิการดีไหม เอาจริงๆ ถ้า rate อยู่ที่ 7.5-8$/hr นี่ถือว่าไม่เยอะ (เราโชคดีที่นายจ้างให้ทำชม.เยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่หายากที่เขาอยากจ่าย overtime นะ) ถ้าที่พักเกิน 100$/สัปดาห์ เราว่าแพง (พูดถึงโดยรวม ไม่นับเมืองหรือสถานที่ที่ค่าครองชีพสูง) คือ ต้องดูโดยรวมว่า 2 อย่างมันสมดุลกันไหม ไม่ใช่ว่าเรทน้อยค่าบ้านแพง
  2. เมืองและรัฐที่ไปอยู่ : ค่าครองชีพแพงไหม เป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ สามารถหางาน 2-3 ได้ง่ายแค่ไหน โดยแหล่งท่องเที่ยวนั้นจะหางานได้ง่ายกว่า เพราะมีลูกค้าเยอะจึงต้องการพนักงานมาก ทั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับข้อถัดไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรัฐที่มีภาษีแตกต่างกัน บางรัฐนั้นไม่มี state tax ทำให้ได้เงินได้เต็มกว่า (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำ tax refund ส่วนมากจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2000-4000 บาท แล้วแต่จำนวนเงิน)
  3. เดือนที่เราไปถึง : โดยปกติแล้วคนที่ไปถึงที่ทำงานก่อน ทำ social security card ก่อนก็มีสิทธิ์ได้งานก่อน (คือ โอกาสมากกว่า) แต่ถ้าเป็นตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ช่วงเดือนที่ลูกค้ามามาก คือ June-July-August เราก็จะมีสิทธิ์ได้งานในเดือนนั้นๆมากกว่าช่วง May 
  4. ระดับภาษาของเรา : ถ้าคนที่ระดับภาษาดีก็จะสามารถเลือกงาน 2 ที่จะไปสมัครได้มากกว่า นอกจากนี้ระดับภาษาก็ยังเกี่ยวข้องตอนที่เราไปขอสมัครงานหรือสัมภาษณ์งานที่ 2 ด้วย ถ้าหากไปคุยกับเขาไม่รู้เรื่องเขาก็คงไม่รับ
  5. การใช้จ่ายของเรา : อันนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างนึงที่ส่งผลต่อการเก็บเงิน ใช้จ่ายสุรุสุร่ายหรือป่าว? ชอบซื้อของมากแค่ไหน อย่างเราไม่ใช่สายช็อปก็เลยไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เราสายแ_ก 555
  6. การไปเที่ยว : ข้อนี้แต่ละคนมีความฝันที่แตกต่างกัน ถ้าคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้กลับไปหรือไม่ แล้วฝันว่าอยากเที่ยวก็แนะนำให้เที่ยวไปเลย ถ้าจะไปกับทัวร์ก็ดูดีๆ ที่ไว้ใจได้ ถ้าจะไปแบคแพคก็ให้ระวังตัว บางที่ก็มิจฉาชีพเยอะ แต่ถ้าคนที่เฉยๆกับการเที่ยว อยากเก็บเงินให้มากที่สุด ก็ไม่ต้องไปเที่ยวตามคนอื่นเขา ส่วนคนที่อยากเที่ยวและอยากประหยัดเงินไปด้วย ก็แนะนำว่าให้วางแผนเที่ยวตั้งแต่แรก(ก่อนซื้อตั๋วเครื่องบิน)ว่าอยากเที่ยวไหน เพราะว่าเราสามารถขอ stop over จากสายการบินได้ โดยอาจเสียเงินเพิ่ม(หรือไม่เสียก็ได้) แล้วแต่สายการบินและไฟลต์ต่อ ซึ่งแบบนี้จะถูกกว่าการซื้อตั๋วไปเที่ยวแยก
     ปล.ปีนี้เราไม่ได้ไปเที่ยวขากลับเนื่องจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นก่อนกลับ

    This is your life. Go live. Make your own story.




    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น