ปล. ภาพจะมาจาก iPhone5 และ Canon 60D ปนๆกันไปนะคะ
ปล 2. ไม่ใช่งาน McD ทุกที่นะคะที่ไปแล้วจะได้ชั่วโมงงานเยอะแบบนี้ (เกิน 40 ชม) คือ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายจ้างและผู้จัดการร้านเลยค่ะ ซึ่งมีน้อยร้านมากๆที่จะยอมจ่าย OT (ถ้ามีก็คือจ่ายไม่เยอะ) ของเราคือโชคดีมากที่ได้ไปที่นี่กับนายจ้างคนนี้ แต่ว่าที่นี่เขาไม่รับเด็ก WAT แล้วค่ะ ครั้งเดียวคงเกินพอ 5555
ต้องเล่าย้อนไปก่อนว่าปี 2013 เราเพิ่งกลับมาจากเมกา เลยคิดว่าปีหน้าไม่ไปละ..เปลืองเงิน(ยังไม่รู้ว่าปี 2014 นั้นปิดเทอมหกเดือน) พอช่วงประมาณตุลาที่เรารู้แน่นอนแล้วว่ามันปิด 6 เดือน เราก็จะไปแน่นอน! แต่ตอนนั้นเอเจนซี่ที่คนอื่นเขาว่าโอเคๆกันก็ราคาสูงหมดแล้ว เราก็เลยหาข้อมูลไปเรื่อยๆแล้วมาเจอเอเจนซี่นี้ เห็นว่าราคาถูกมากๆเมื่อเทียบกับที่อื่นและเวลาช่วงนี้ เราเลยเลือกที่นี่ไป...จ่ายมัดจำ 5000 บาท หลังจากนั้นทางเอเจนซี่ก็บอกว่ามีงาน premium เข้ามาเป็นงานโรงแรมดังมาก ที่พักถูก สวัสดีการดี บลาๆ โฆษณาชวนเชื่อเล่นใหญ่มาก เพื่อนที่คณะเรา 3 คน ก็เลือกงาน premium นี้ไป ส่วนเราไม่ได้เลือก เพราะตอนนั้นกำลังดูๆงานอื่นๆอยู่ (ในใจนึงคิดว่ามันชวนเชื่อมากเกินไป เพราะบริษัทเล้กแบบนี้ไม่น่าไปแย่งงานมาจากเอเจนซี่ใหญ่ๆได้) ปรากฏว่าผ่านไปไม่นาน...ทางเอเจนซี่บอกว่างาน premium ถูกยกเลิกทั้งหมด และงานธรรมดาก็ไม่มีเข้ามา ต้องรอต่อไป ซึ่งก็ไม่มีกำหนดที่แน่นอนว่าจะเข้ามาเมื่อไหร่ (แดกเงินไปคนละ 5000 ก็ปล่อยทิ้งละสินะ ลองคิดดูว่า 5000 นี่ได้ไปกี่คน!) เพื่อนเรา 3 คนนั้นก็เบนเข็มไปเอเจนซี่อื่นแล้ว ส่วนเรากับรุ่นน้องก็ยังรอต่อไป (เพราะเอเจนซี่อื่นมันแพงแล้ว) ต่อมาประมาณจะปลายมกราแล้วยังไม่มีงานใหม่เข้ามาเลย ตอนนั้นเราเริ่มใจร้อนกลัวไม่ได้ไป เพราะว่าปีนั้นเป็นปีสุดท้ายที่เราจะไปได้ก่อนที่จะไม่ได้ไปจนกว่าจะเรียนจบ เลยเริ่มหาเอเจนซี่ที่ยังเปิดรับอยู่ ณ เวลานั้น แต่ราคามันแพงมากแล้ว และงานก็เหลือแต่งานที่ไม่ค่อยได้ใช้ภาษาเท่าไหร่ สุดท้ายเอเจนซี่โทรมาหาเราว่ามีงานมาใหม่ เป็นงาน McDonald's ที่รัฐ Michigan เขาต้องการคนที่มี SSC อยู่แล้ว ภาษาโอเค พี่เขาเลยโทรหาเราก่อนคนอื่น เพราะเรากับรุ่นน้องตรงคุณสมบัติที่เขาต้องการทุกอย่าง แล้วพี่เขาก็ให้เราไปดูรายละเอียดของงานในเว็บซึ่งเราก็โอเค หลังจากนั้นก็ดำเนินเอกสารไม่นาน ได้ DS2019 เรียบร้อย (สุดท้ายของเพื่อนๆเราที่คณะ คือ 2 คนไปออสเตเรีย อีกคนไปเวิ้คกับเอเจนซี่อื่น)
ปีนี้เราจองตั๋วเครื่องบินเอง (เดินทาง 3 ต่อ ราคาถูกมากๆ แต่ก็เป็นสายการบินจีนไงจ๊ะ China eastern airline เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมากแม้ตอนกลางคืน แบบอีป้าไม่หลับไม่นอน มารำไทเก๊กอยู่ตรงทางเดิน - - คนคุยกันเสียงดังมาก วอแวที่สุดในปัฐพี ถ้าใครชอบความสะดวกสบายหรูหราอลังการ ไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวแนะนำว่าเพิ่มเงินอีกหน่อยซัก 5000 ก็ได้นั่งสบายๆละ แต่เรางก! อันนี้ค่าตั๋วไปกลับ 33000) โดยทางนายจ้างที่อเมริกาขอมาว่าให้ทุกคนไปถึงพร้อมกัน สรุป คือ มีสาว(?)ไทยทั้งหมด 3 คนที่ไปทำงานที่นี่ในเมืองเล็กๆนี้ (อีกคนนึงชื่อ เมย์ เพิ่งมาเมกาเป็นครั้งแรก ไม่มี SSC : เหมือนตอนหลังนายจ้างจะเปลี่ยนใจเรื่องที่ว่าต้องเอาคนที่มี SSC) โดยเรากับรุ่นน้องไปด้วยกันแล้วก็ไปเจอกันที่สนามบิน Detroit (เลือกไฟลท์ให้เวลาถึงพอๆกัน) ปรากฏว่านายจ้างมารับเองเลย มารับพร้อมกับหุ้นส่วนร้านคนสนิท ชื่อ แนน โดยแนนจะเป็นคนดูแลเราเป็นหลัก เพราะแนนเป็นคนดูแลสาขาที่พวกเราจะไปทำ (Fowlerville)
ปล.1 เพิ่งมารู้ตอนไปถึงที่โน่นแล้วว่าจะมีสาวไทยตามมาอีก 1 คนด้วยกันในเดือนเมษายน ทำให้มีคนไทยทั้งหมด 4 คนด้วยกันจ้า
สาวไทย 4 คนแห่ง Fowlerville, MI ส่วนภาพนี้ถ่ายที่ outlet ในเมือง Brighton ค่ะ |
นายจ้างคนดีของเราชื่อ Mike ใจดีมาก เป็นเจ้าของ McD ทั้งหมด 20 กว่าสาขา โดยเขาจะแบ่งให้หุ้นส่วนเป็นคนดูแลในแต่ละที่ไป แต่ละคนอาจจะได้ 4-5 สาขา แล้วแต่ความใหญ่และยุ่งยากของแต่ละสาขา เขามีเมียเป็นคนจีนเลยเอ็นดูคนเอเชียมาก นายจ้างซื้อของเข้าบ้านให้ทุกอย่าง เตียง หมอน ผ้าห่ม ทีวี ที่ประทับใจสุดคือ ซื้อมือถือให้ 1 เครื่อง(ใช้ในเด็กไทย 4 คน) พร้อมกับตัวปล่อย 4G แบบ unlimited ทำให้พวกเราไม่ต้องซื้อซิมเสียตังเลยจย้าา เล่นเน็ตกันสบายแฮไปเลย เพราะที่ Mc ก็มีไวไฟให้เล่นเหมือนกัน
ปล.2 ตอนหลังที่พวกเราใกล้จะกลับ มีเด็ก wat จากจีนมา ทำให้รู้ว่าสิทธิพิเศษมันต่างกันเข้าไปอี๊ก คือแบบว่าดูแลเด็กจีนดีมากเวอร์ ได้อะไรที่พวกชั้นคนไทยไม่ได้!!
นี่คือตัวปล่อย 4G ที่เราบอกค่ะ สามารถเชื่อมต่อได้มากสุดแค่ 5 เครื่อง |
ที่พัก : ที่พักเป็น motel แต่เป็นห้องใหญ่ มี 1 ห้องโถง 1 ห้องนอน 1 น้ำ 1 ครัว (Mike บอกว่านี่เป็นห้องที่ผู้จัดการโมเตลอยู่มาก่อน) สภาพเก่าหน่อย แต่ก็ยังใช้ได้ ตอนแรกมันมีเตียง 5 ฟุตอยู่แค่ 1 อัน หลังจากนั้นไมค์ก็เลยพาไปซื้อของที่จำเป็นเข้าบ้าน(ไมค์จ่าย ><) หลังจากนี้ก็มีหลายอย่างที่ใช้ไม่ได้ แต่นายจ้างก็คอยดูแลตลอด ในห้องครัวมีตู้เย็นอันใหญ่ ไมโครเวฟ เตาอบใหญ่ เตาแก๊ส 4 หัว อ่างล้างจาน(ที่ตอนหลังมีปัญหาอุดตันมากๆ) นอกจากนี้ก็มีเครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าด้วยค่ะ
ในตอนแรกสุดที่ไปถึง ในห้องมีแค่เตียงใหญ่ 1 เตียง โซฟาเก่าๆ และทีวีเก่าๆ(แต่ไม่มีเคเบิล) พวกเราสามคนนอนจึงมานอนในห้องโถงใหญ่ โดยเอาผ้าปูมากั้นเป็นผ้าม่านระหว่างส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น เพราะว่าตอนแรกยังไม่สามารถล็อกประตูใหญ่หน้าห้องได้ ล็อกได้แต่ส่วนที่เข้ามาห้องโถง ส่วนห้องน้ำนั้นกว้างมาก สามารถไปนอนในนั้นได้เป็น 10 คน (ไม่ได้เวอร์) มีอ่างอาบน้ำแบบมีกระจกปิดด้านบนเพราะมีฝักบัวให้อาบน้ำด้วย (ยังหาภาพไม่เจอ)
ในตอนแรกสุดที่ไปถึง ในห้องมีแค่เตียงใหญ่ 1 เตียง โซฟาเก่าๆ และทีวีเก่าๆ(แต่ไม่มีเคเบิล) พวกเราสามคนนอนจึงมานอนในห้องโถงใหญ่ โดยเอาผ้าปูมากั้นเป็นผ้าม่านระหว่างส่วนห้องนอนกับห้องนั่งเล่น เพราะว่าตอนแรกยังไม่สามารถล็อกประตูใหญ่หน้าห้องได้ ล็อกได้แต่ส่วนที่เข้ามาห้องโถง ส่วนห้องน้ำนั้นกว้างมาก สามารถไปนอนในนั้นได้เป็น 10 คน (ไม่ได้เวอร์) มีอ่างอาบน้ำแบบมีกระจกปิดด้านบนเพราะมีฝักบัวให้อาบน้ำด้วย (ยังหาภาพไม่เจอ)
นี่คือห้องนอนที่ตอนแรกไม่มีใครนอน |
นี่คืออ่างล้านจานค่ะ ซึ่งตันในตอนหลัง และก็ไมโครเวฟสีดำด้านซ้ายสุดของ่างล้านจาน |
นี่คือตู้เย็น เตาแก๊ส และตู้อบ
![]() |
นี่คือชานไม้ที่ต่อออกมาจากห้องครัวค่ะ พอตอนเข้า summer ก็มานั่งเล่นตรงนี้ได้ ส่วนภาพนี้ถ่ายกลางเดือนเมษายนค่ะ อยู่ดีๆหิมะก็ตก คือ ปลื้มปริ่มมาก >< |
นี่คือสภาพหลังบ้านตอนตื่นมาตอนเช้าค่ะ ขาวโพลน
บรรยากาศเมือง : เงียบมากและเล็กมาก ทั้งเมืองมี Walmart เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ 555 (ต่างกับ Odessa มากเหลือเกิน) ส่วน Downtown ก็มีร้านอาหาร 1 ร้าน ร้านขายของ 3-4 ร้าน ธนาคาร 2 อัน โดยเมืองนี้อยู่ห่างจาก Lansing ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐ Michigan ไป 30 นาทีหากขับรถ (หลายคนเข้าใจว่าเมืองหลวงของรัฐนี้คือ Detriot แต่ว่าไม่ใช่นะจ๊ะ)![]() |
อันนี้คือผังเมือง Fowlerville เล็กมากและไม่มีอะไรเลย |
อันนี้ถ่ายที่หน้าร้านอาหารใน Downtown ค่ะ หน้าตาตึกน่ารักมาก |
![]() |
ภาพนี้จะแสดงให้เห็นระหว่าง Lansing และ Fowlerville |
ที่ทำงาน : McD ก็มีตำแหน่งหลายอย่างคล้ายๆกันกับ KFC เด็กไทยเราได้ทำทุกอย่างยกเว้นเป็น แคชเชียร์ (ไม่รู้มันจะหวงไปไหน แต่พอเด็กจีนมามันเสือกให้ทำซะงั้นอะ! ทั้งๆที่ภาษาแย่กว่าเรา /มั่นหน้ามาก 555) มาพูดถึงรายละเอียดของแต่ละงานกัน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นต้องอธิบายก่อนว่าที่ McD จะมีเมนู breakfast กับ เมนูปกติ โดยอาหารเช้าจะขายตั้งแต่ตีห้าถึง 11 โมง หลังจากนั้นก็จะเข้าเมนูปกติ ที่โน่นเมนูอาหารเช้าจะแตกต่างกับปกติอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นในตำแหน่งต่างๆที่ต้องข้องเกี่ยวกับเมนูอาหารก็จะต้องรู้รายการอาหารทั้งหมด
นี่คือ McD สาขาที่เราทำค่ะ ถ่ายมาจากฝั่งตรงข้ามถนน |
เมนูตอนเช้า (ตอนที่เราไปยังมี Bagle อยู่ แต่หาในเว็บไม่มีแล้วจ้า) ปล.บิสกิตของเคเอฟซีก็ยังคงอร่อยกว่าแน่นอน 555 แต่ซอสเซจอร่อยมาก เป็นหมูด้วย

ตำแหน่งของคนทำงานที่ร้าน(ไม่รวมผู้บริหารนะจ๊ะ)
- ผู้จัดการใหญ่ : คนนี้มีเพียงคนเดียว คือคนที่คุมร้านทั้งหมดค่ะ ส่วนใหญ่จะอยู่แต่ในห้องทำงาน มีแค่บางวันที่จะมาช่วยทำงานในฟลอร์
- ผู้จัดการทั่วไป : พวกนี้ใส่ Blue shirts ทั้งหลายค่ะ โดยที่ที่นึงก็จะมีได้หลายคน แล้วแต่ขนาดของร้านและจำนวนลูกค้าค่ะ โดยในกะกะนึงก็มีเสื้อฟ้าได้หลายคนค่ะ ที่ร้านนี่มีเป็น 10 คนค่ะ แต่เขาจะอยู่กันเป็นกะๆ ในแต่ละกะเราเคยเจอมากสุด 4 คน พวกนี้ก็จะมาทำงานในฟลอร์เหมือนเราค่ะ และก็จะเป็นคนแบ่งหน้าที่ต่างๆให้กับคนในร้านว่า ตอนนี้คุณต้องทำตำแหน่งไหน เป็นคนแก้ปัญหาหน้างานที่เกิดขึ้น อย่าคิดนะว่าพวกนี้จะแก่กว่าเรา หลายๆคนนี่จบไฮสคูลมาทำโดยไม่เรียนต่อก็เยอะ ถ้าตั้งใจไม่นานก็สอบได้แล้ว
- หัวหน้าคนงาน(crew chief) : พวกนี้ใส่ Red shirt จะเป็นรองมาจากพวกเสื้อฟ้า เขาสามารถสอนพนักงานคนอื่นๆทำงานในร้านได้ จะได้เรทเงินสูงกว่าพวกพนักงานปกตินิดหน่อย แต่ความรับผิดชอบไม่มากเท่ากับผู้จัดการ
- พนักงานทั่วไปในร้าน(crew/team member) : ทำทุกอย่างตามรายละเอียดด้านล่างค่ะ
หน้าที่การทำงานของพนักงาน
- แคชเชียร์หน้าร้าน : ง่ายเหมือนเดิม คือ รับแต่ออเดอร์ข้างหน้าร้าน จัดของที่ทำเสร็จแล้วให้ลูกค้า ทำของหวานหน้าร้าน McCafe ต่างๆนาๆ ที่ยากสำหรับตำแหน่งนี้คือหาเมนูที่หน้าจอไม่เจอ 5555 คือต้องเข้าใจก่อนว่าเมนูที่แมคมันเยอะมากๆ แล้วไอ้หน้าจอที่ใช้กดเนี่ยมันก็เล็กๆ ดังนั้นเมนูมันจะไปซ่อนๆอยู่ บางคนทำงานมา 6 เดือน ก็ยังไม่รู้เลยว่าเมนูบางอย่างต้องกดตรงไหน
- แคชเชียร์ไดรฟ์ธรู : อันนี้ยาก ต้องฟัง ต้องพูด ต้องทอนเงิน ภาษามาค่ะ! อันนี้เคยลองทำอยู่ครั้งนึงค่ะ บาย
- runner : ตำแหน่งนี้คือ packer ที่ kfc นั่นเอง ก็ต้องจัดของที่ทำเสร็จแล้วตามออเดอร์แต่ละราย(ดูที่มอนิเตอร์) ต้องไว ไม่หยิบมั่ว ภาษาต้องโอเคเพราะอยู่ในส่วนหน้าร้าน โดนลูกค้าเรียกประจำค่ะ งานนี้ก็สนุกดีค่ะ ตื่นตัวดี ต้องกระตือรือร้นตลอดเวลา ยิ่งเวลาคนเยอะๆต้องห้ามลนเด็ดขาด ทำน้ำ ไอศครีม หยิบของห้ามพลาด ไม่งั้นจะทำให้ทุกอย่างช้าลง ตอนไหนแคชเชียร์ไดรฟ์ธรูยุ่งๆกับการรับออเดอร์อยู่ เราก็ต้องเป็นคนส่งของให้ลูกค้าที่หน้าต่าง หรือว่าถ้าทำของไม่ทัน เราก็ต้องวิ่งเอาไปให้ลูกค้าที่รถค่ะ พอตอนคนไดร์ฟธรูไม่มี เราก็ไปช่วยแพคของหน้าร้าน เดินร่อนไปทั่วร้านเลยจ้ะ ถ้าว่างมากๆก็จะโดนใช้ไปเก็บโต๊ะ ดูแลห้องน้ำ ดูแลความสะอาด บลาๆ ส่วนเทคนิกในการล้างอุปกรณ์ครัวต่างๆก็เหมือนกับ KFC ที่เคยบอกไปแล้วค่ะ(สามารถไปดูได้) คือ เปิดน้ำยาล้างจานแบบน้ำร้อนจัดแล้วแช่อุปกรณ์ต่างๆไว้ก่อนซัก 5-10 นาที แล้วแต่ความสกปรกของมันค่ะ หลังจากนั้นแล้วเราค่อยลงมือมาขัด ซึ่งวิธีนี้จะช่วยเราประหยัดแรงในการขัดและไม่เจอความร้อนสูง กรณีที่เราแช่แล้วมาขัดก็ยังไม่ค่อยออก พวกนั้นเราจะจับแช่น้ำยาล้างจานร้อนๆรอบ 2 ค่ะ
- สาวจิปาถะ : หน้าที่ประจำคือทอดฟราย อบพาย จริงๆมันไม่มีตำแแหน่งนี้นะ แต่อย่างที่รู้ว่าฟรายของแมคนั้นขายดีเทน้ำเทท่าแม้จะไม่ลดราคา 50% เหมือนบ้านเรา ดังนั้นเมื่อเข้าเวลาที่ขายฟราย...เหมือนผีปอบลงค่ะ คนสั่งกันแบบไม่เว้นเลย บางคนสั่งชุดปกติ เพิ่มฟราย XL 2 ถ้าหากไม่มีคนประจำเตาทอดและตักฟราย...มันจะไม่ทันขายแน่นอน ขนาดว่ามีคนทำแล้วบางวันก็ยังไม่ทัน ทั้งนี้ต้องกะปริมาณดีๆเพราะถ้าทอดมากไปก็จะเหี่ยวแล้วก็ต้องทิ้งลงถังขยะเลย พอคนซาลงแล้ว..ตำแหน่งนี้ก็จะโดนไล่ไปทำอย่างอื่นเหมือน runner ส่วนเมนูตอนเช้านั้นสาวจิปาถะก็จะต้องทอดแฮชบราว อุ่นแพนเค้ก อุ่นบิสกิต อุ่นขนมซินนามอน
- prep : มีแค่ตอนเปิดร้านค่ะ(รุ่นน้องเราไปทำตั้งแต่ตี 4 ร้านเปิดตี 5) ก็เตรียมทำโยเกิร์ตพาเฟ่ แล้วก็ห่อเบอริโต้ ทำสลัดต่างๆ เตรียมผักใส่กระป๋องไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็ไปเข้าไปเอาของแช่ที่อยู่ในห้องแข็ง มาสต็อกไว้ฟรีซเซอร์ธรรมดาสำหรับใช้วันพรุ่งนี้ แล้วก็ทำงานสต็อกของในร้านทั้งหมดให้เรียบร้อย พอทำงาน prep เสร็จแล้วก็จะกลายเป็นสาวจิปาถะเช่นกัน
- table : คนทำเบอร์เกอร์นั่นเองค่ะ อย่าคิดว่าง่ายนะคะ จำบานตะไทเลย 555 ทั้งเมนูตอนเช้าและตอนปกติ แต่ละช่วงมีเมนูเบอร์เกอร์เกือบ 10 อย่างได้ แต่สนุกมากค่ะ ถ้าหากใครจำไม่ได้มันก็จะมีแผ่นบอกอยู่ที่โต๊ะนั่นแหล่ะ แต่ว่ามันจะทำช้าลงเยอะเลย เพราะงั้นก็รีบๆจำนะจ๊ะ จำไวก็ทำงานได้ไวขึ้น โดยส่วนตัวเราถนัดเมนูปกติเพราะว่าได้ทำช่วงเช้าอยู่ไม่นานเองค่ะ และก็จะต้องเช็คของทำเบอร์เกอร์ในชั้นด้วยว่าใกล้หมดรึยัง เพื่อให้กริลเตรียมทำต่อไป หน้าที่นี้คนในครัวชอบแย่งกันทำเพราะว่ามันไม่ต้องเจอความร้อนเหมือนหน้าเตา แต่ไม่ใช่ว่ามันจะปลอดภัยนะ มันจะมีเตานึ่งขนมปังที่ใช้ทำ Filet o Fish ซึ่งรุ่นน้องเราทะเลาะกับคนที่ทำเบอร์เกอร์ด้วยกันแล้วไปโดนอีถาดของเตานี้เข้า(หลังจากที่พึ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ) ตอนแรกมันเป็นแค่แผลผุผอง ถุงน้ำ แต่หลังจากพอมันแตกปุ๊บแผลก้เริ่มดูไม่ดี เลือดผสมน้ำเหลืองไหลเยอะมาก เราเลยไปแจ้งหัวหน้าผู้จัดการ หลังจากนั้นก็โดนพาไปหาหมอ(อันนี้ทางบริษัทจ่ายให้หมดเลย รุ่นน้องบอกว่าประมาณ 1000 กว่าเหรียญได้) หมอบอกว่านี่มัน second-third degree burn เลยนะ! ต้องกินยาและทายาอยู่นานกว่าจะหายเลยอะ ดังนั้นระวังกันด้วยเด้อ นอกจากนี้ก็จะมีเครื่องปิ้งขนมปังของเบอร์เกอร์ทั่วไป แต่อันนั้นไม่มีอันตรายอะไรเท่าไหร่(แต่ก็อย่าแหย่มือลงไปแล้วกันนะจ๊ะ)
- grill(จริงๆแล้ว grill ต้องมาก่อน table ค่ะ แต่มีปัญหาในการจัดเรียงไฟล์) : ตำแหน่งนี้อยู่หน้าเตากริลและเตาทอดตลอดเวลา! อย่าคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของผู้ชายค่ะ เพราะสาวๆได้ทำกันมาหมดทุกคนแล้วววว คือ มันเป็นงานไม่หนักนะ แต่ร้อนมาก และต้องรู้จักบริหารเวลาของให้ดี
![]() |
ภาพนี้บรรยายความเสี่ยงของมือ ตอนเอาเนื้อลงเตาได้อย่างดีค่ะ โดยเราต้องทำให้เร็วและทำให้ไวไม่อย่างนั้นอาจโดนน้ำมันที่ติดอยู่ที่เตาดีดใส่ได้ แล้วก็ต้องระวังไม่ให้มือโดนเตาด้วย |
![]() |
ภาพนี้คือเตาทอดค่ะ ไม่ต้องมีคนเฝ้า เพราะมันใช้เวลาทอดนาน พอมันเสร็จเมื่อไหร่มันก็ร้องเตือนเอง ไอ้พวกของทอดนี่ก็ต้องระวังค่ะ ตอนเอาของออกจากตะกร้ามักมีคนโดนตลอด ได้ลายสักกันไปเป็นแถวๆเลยทีเดียว |
หน้าที่ของกริลในตอนเช้านี่ต้องทำของเยอะมาก ได้แก่ scramble egg, egg white, ไข่เจียวพับ, ไข่ดาว, canadian bacon, bacon, sausage ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดีมากๆ โดยเฉพาะไอ้พวกไข่ๆนี่จะใช้เวลานาน ของขาดทีนึงนี่ต้องรอกันไปหลายคิวเลย แต่ตอนเช้าจะไม่มีของทอดที่ฝั่งกริลต้องรับผิดชอบ ต่อมาพอประมาณ 10.30 ก็ต้องเริ่มทอดของแล้ว เพราะของทอดใช้เวลานาน แล้วจะต้องตรวจสอบอุณหภูมิด้วยว่าถึงที่กำหนดหรือยัง(ผู้จัดการจะเป็นคนมาจิ้ม) และก็ทำการเคลียเตา ส่วนมากเราจะเหลือไว้เตานึงเพื่อเอาไว้ใช้ทำจองตอนเช้าเผื่อมีอะไรหมดขึ้นมา(เสื้อแดงคนนึงให้ทริคมา) ในส่วนของตอนบ่ายที่ต้องใช้เตาก็จะมี เนื้อ Quater, เนื้อ Regular, Bacon, อกไก่ ส่วนที่ต้องทอดก็จะมี Mcchicken, Mcnugget, Filet(ปลาชุบแป้งทอด ออกเสียงว่า ฟิ-เล่), Crispy chicken
ชั่วโมงการทำงาน : วันแรกที่ไปถึง เราก็ถามนายจ้างว่าพวเราขอทำงาน 2 ได้ไหม? ไมค์ก็เลยบอกว่าจะไปทำงาน 2 ทำไม ทำที่นี่แหล่ะ อยากทำมากแค่ไหนทำไปเลย!!! พวกเราก็งงๆว่าแบบ...มันมีแบบนี้ด้วยเหรอวะ ให้ทำงานมากแค่ไหนก็ได้ ตอนแรกเราทำวันละ 12 ชม 6 วัน/สัปดาห์ แต่พอทำไปได้ไม่กี่อาทิตยก็พบว่ามันเหนื่อยมากๆ สุดท้ายเราเลยขอทำแค่ 5 วัน/สัปดาห์(น้องคนนึงทำ 6 วัน อีกคนทำ 4 วัน ส่วนคนที่ตามมาทีหลังทำ 5 วัน แต่วันนึงแค่ 8-9 ชม.) ซึ่งเราทำกะปิดร้าน คือ ตั้งแต่บ่ายโมง-ตี 1 ที่นี่เรทปกติได้ 7.45$ ส่วน OT ได้เรท 11$ (ถ้าจำไม่ผิดนะ)
อาหารการกินที่ทำงาน : ดีอีกแล้ว เพราะว่ากินฟรีวันละ 2 มื้อ!!! สามารถกินอะไรก็ได้ ไม่ยั้ง แดกกันทุกอย่าง 5555 แต่ตอนใกล้จะกลับเขามาเปลี่ยนกฏว่าต้องกินอยู่ใน 8 ดอลต่อ 1 มื้อ(น่าจะเพราะพวกเราแดกกันเยอะกินไปนั่นเอง - -) โดยเวลาพักกินข้าวจะให้เวลา 1 ชม.(รวม 2 รอบ) ของเราไม่มี clock in-out นะ เป็นสัญญาใจล้วนๆ ที่แปลกก็คือ สำหรับพวกที่สูบบุหรี่สามารถไป smoke break ได้ ไม่เกิน 5 นาทีต่อกะ
อาหารการกินที่ทำงาน : ดีอีกแล้ว เพราะว่ากินฟรีวันละ 2 มื้อ!!! สามารถกินอะไรก็ได้ ไม่ยั้ง แดกกันทุกอย่าง 5555 แต่ตอนใกล้จะกลับเขามาเปลี่ยนกฏว่าต้องกินอยู่ใน 8 ดอลต่อ 1 มื้อ(น่าจะเพราะพวกเราแดกกันเยอะกินไปนั่นเอง - -) โดยเวลาพักกินข้าวจะให้เวลา 1 ชม.(รวม 2 รอบ) ของเราไม่มี clock in-out นะ เป็นสัญญาใจล้วนๆ ที่แปลกก็คือ สำหรับพวกที่สูบบุหรี่สามารถไป smoke break ได้ ไม่เกิน 5 นาทีต่อกะ
การเดินทางไปทำงาน : ช่วงแรกเดินไป ขากลับก็ติดรถคนอื่นมา เพราะเมืองมันเล็กมาก เขามาส่งพวกเราได้ และก็นั่ง l.e.t.s. bus(อธิบายด้านล่าง) พอกลางๆเมษา เราเปลี่ยนมาทำกะปิดร้าน ก็เลยใช้บัสต่อไม่ได้ นายจ้างเลยซื้อจักรยานให้ หลังจากนั่นก็ปั่นไปกลับสบายใจ โดยเราทำตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงตี 1 แต่ไม่เคยได้กลับแค่ตี 1 เลย เลทจากนั้นตลอดเวลา เพราะเก็บร้านเหนื่อยและงานเยอะมาก(แต่ที่เลือกผลัดนี้เพราะว่าได้อยู่กับคนที่ทำงานด้วยแล้วสบายใจ เขาเห็นหัวเรา เห็นความสำคัญของเรา)
นี่คือจักรยานประจำตำแหน่งของเราค่ะ มีเกียร์ด้วย (ไม่เคยขี่จักรยานมีเกียร์มาก่อน บอกเลยว่ามั่วมากค่ะ555) อันนี้คือขี่ไปเอาของที่ไปรษณีย์ค่ะ นี่คือขี่จักรยานไปเที่ยวในเมืองค่ะ |
การเดินทางอื่นๆ : ที่เขตนี้มีสิ่งประหลาดที่เรียกว่า l.e.t.s. bus ซึ่งเป็นบัสที่ต้องโทรจองเหมือนแท็กซี่ ต้องโทรจองล่วงหน้าก่อน 1 วัน และไม่ใช่ว่าอยากจะไปไหนก็ได้ตามสบาย เพราะว่ามันเดินทางได้แค่ใน livingstion county (ไปไม่ถึง lansing เมืองหลวงของรัฐ) และมันเดินทางได้ถึงแค่ 5-6 โมงเย็น
เมืองติดกันทางด้านขวาชื่อ howell มี outlet mall ที่เขาว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในหลายๆรัฐ ถัดไปอีกเป็น Brigthon มี bowling,cinema mall เยอะแยะมากมาย
ถ้าหากจะไปเมืองหลวง ต้องติดรถคนอื่นไป คนที่ทำงานไรงี้ เราหารถสาธารณะไปเองไม่ได้ แต่ขากลับสามารถเรียกแทกซี่กลับมาได้ประมาณ 40$
อากาศ : ไปช่วงแรก ปลายมีนา หนาวมากกกกกกกก อากาศแบบต่ำกว่า 10 C ตลอด บางวันติดลบ และลมแรงมาก ขนาดใส่เสื้อขนเป็ดยังเอาไม่อยู่ เวลาทำงานนี่ต้องใส่เสื้อ 2 ชั้น ขนาดฝรั่งเองยังไม่สู้เลย แล้วอากาศแปรปรวนมาก ช่วงกลางเมษา หิมะเสือกตก งงไปอีก ช่วงพฤษภาฝนตกเยอะมาก แต่อากาศก็ยังหนาว พอเข้ามิถุนาเริ่มร้อนละตอนกลางวัน 15-20 C ตอนกลางคืนก็ไม่หนาว แมลง-ยุงเยอะมาก เหมือนอากาษปกติบ้านเราเลย แต่ไม่ร้อนเท่า
คน: ที่นี่เจอแต่คนขาว คนดำน้อยมากกกกจริงๆ จีนเจอบ้าง พูดภาษาอังกฤษกันหมด ไม่มีภาษาอื่นเลย คนก็มีทั้งใจดีและนิสัยแย่นะคนขาวอะ เฉพาะวัยรุ่นเมกาผู้หญิง ที่แบบว่าคอยเหยียดเราไรงี้่ ว่าพูดภาษาเขาไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เป็นกะเหรี่ยง แต่วัยรุ่นผู้หญิงวัยน่ารักๆกับพวกเราก็มีเหมือนกัน (แน่นอนว่าทุกที่ก็ต้องมีทั้งคนดีและไม่ดีเนอะ)
การใช้ภาษา: อย่างที่บอกไปข้างบนแล้วค่ะว่าทั้งเมืองนี้มีคนไทยอยู่ 4 คนเท่านั้นแล้วเราก็ไม่ได้เข้ากะเดียวกันตลอด บางวันเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงในที่ทำงาน ดังนั้นเราจึงต้องพูดภาษาอังกฤษล้วนๆค่ะ ได้พัฒนาภาษาจริงๆ บางทีที่อยู่ในร้านแล้วพวกเราพูดไทยกัน ผู้จัดการก็จะบอกให้พูดภาษาอังกฤษ(มันจะได้รู้ด้วย 55) แนะนำว่าถ้าใครอยากฝึกภาษาจริงจังให้ไปเมืองบ้านนอกๆ คนไทยน้อยเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เพราะเราจะไม่มีคนไทยให้พูดด้วยเลย อ้อ..นอกจากนี้พวกเราคนไทยเวลาอยู่ด้วยกันก็พูดกันเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ไม่มีใครด่าใครว่ากระแดะ ก็ได้ช่วยกันฝึกภาษาไปในตัวค่ะ...อย่าพูดถึงตอนเมาว่าจะพูดไฟแลบขนาดไหน 5555 ส่วนตัวเราได้ภาษาอังกฤษอยู่ก่อนแล้วก่อนมา WAT แต่พอมาครั้งนี้ปุ๊บคือฟังพูดปร๋อมาก (แต่พอกลับมาไทยได้ 1 ปี ภาษาก็กลับมาเท่าๆเดิม -0-)
ปัญหาที่เจอที่ทำงาน : ตอนแรกพวกเราทำงาน 8 โมงถึง 2 ทุ่ม ทำไปทำมาก็มามีปัญหากับผู้จัดการกะเช้าคนนึง นางชอบจิกใช้คนไทยให้ทำงานแรงงานที่พวกมันไม่อยากทำ ประกอบกับเราไปสนิทกับคุณลุงคนนึงที่ประจำอยู่ที่กริลในตอนเย็น(ทำงานเย็น-ค่ำจนถึงปิดร้าน)ซึ่งคุณลุงก็ประทับใจพวกเราเช่นกัน เพราะพวกเราทำงานหนัก ไม่ต้องรอให้สั่งก็ทำ มีสมอง! ว่านอนสอนง่าย 55 สุดท้ายเรากับรุ่นน้องก็เลยขอย้ายไปกะปิดร้านแทน โดยเริ่มงานตั้งแต่บ่ายโมง-ตี1 ตามที่ได้บอกไว้ด้านบน ดังนั้นช่วงเวลาที่เราจะเจอผู้จัดการขี้จิกคนนั้นก็น้อยมากค่ะ บางวันก็ไม่เจอกันเลย บางวันก็ 1-3 ชม
ปัญหาที่เจอที่บ้านพัก :
- โดนขโมยของไปรษณีย์!!! เราชอบสั่งของมาจาก Amazon เพราะว่ามันถูกมากค่ะ ซึ่งทาง motel จะมีตู้ไปรษณีย์เล็กๆอันเดียวไว้รับของ(ทุกคนใช้ร่วมกัน) มีแค่ผู้ส่งของบางรายเท่านั้นที่จะเอาของมาวางไว้ที่ประตูห้อง ของที่หายก็มี เสื้อแขนยาว, หนังสือเกี่ยวกับการแพทย์ค่ะ รวมๆแล้วก็เกือบ 100$ ได้ ตามจับมือใครดมก็ไม่ได้ค่ะ หลักฐานก็ไม่มี (สังคมที่อยู่มันไม่โอค่ะ)
- เสียงดังตอนกลางคืน(ไม่ตลอด) ในบางคืนจะมีบางห้องเหมือนเมายาหรือเมาเหล้านี่แหล่ะค่ะ ตะโกนโวยวายเสียงดัง บางทีก็แอบน่ากลัวค่ะ แต่ก็ไม่เคยมีใครมายุ่งอะไรกับพวกเรานะคะ จะมีก็แค่วันชาติ เพื่อนบ้านเอาไฟเย็นมาให้เล่นค่ะ 55
- อ่างล้างจานตัน! พวกเราก็คิดว่าพวกเราเอาอาหารทิ้งข้างนอกก่อนล้างจานดีแล้วนะคะ แต่สุดท้ายมันก็ตัน พวกเราพยายามแก้ไขเองโดยการไปซื้อน้ำยาทะลวงมาใช้ค่ะ 555 ได้ผลอยู่ไม่กี่ครั้งแล้วก็กลับมาตัน...ถาวรเลย อันนี้เป็นสาเหตุที่เราไม่ได้ประกันบ้านคืนค่ะ
นี่คือตู้จดหมายของ motel ค่ะ |
การใช้ประกันสุขภาพ : วันสุดท้ายของประกันสุขภาพ(5 กรกฎา) เราต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลเนื่องจากเราไปทำอะไรบางอย่างมา จนทำให้เกิดเท้าซ้น?และทนความปวดไม่ไหว โดยเรา text แจ้งแนนไปว่าให้ใครมาพาไป รพ.ที สุดท้ายนางส่งหัวหน้าผู้จัดการมารับเรา ขั้นตอนก็ง่ายมาก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลก็ไปทำประวัติและแจ้งว่ามี health insurance มาด้วย โดยเอกสารที่ต้องใช้ก็มี passport, เอกสารประกัน แค่นี้เอง หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็เป็นคนจัดการเอง พอหาหมอเสร็จออกมา เราไม่ต้องจ่ายเงินซักกะดอลเดียว
ปล. ตอนแรกเราคิดว่ามันต้องมีอะไรหักแน่ๆ เพราะตอนเดินลงน้ำหนักเต็มเท้าจะได้ยินเสียงกร๊อบๆ แต่หมอ X-ray ดูแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเลย แค่เลือดคั่งเท่านั้น (ใช่เหรอวะ??)
เท้าด้านขวาคือข้างที่มีปัญหาค่ะ จะเห็นว่าตรงกลางเท้าบวมกว่าข้างซ้ายมาก |
นี่คือตอนที่ไปโรงพยาบาลค่ะ ระหว่างรอเจอหมอพยาบาลก็เอาถุงเย็นมาประคบให้ |
หลังจากหาเสร็จคุณหมอก็แค่พันผ้าให้ บอกให้ประคบน้ำแข็งบ่อยๆตลอดวัน ให้ยกขาขึ้นที่สูง จอบอ
สิ่งที่ประทับใจ1 : เราได้คุณพ่ออเมริกามาค่ะ ชื่อโจ อายุประมาณ 50 กว่าๆ เจอกันที่ McD นี่แหล่ะค่ะ โดยโจทำงานกริลในกะเย็น-ปิดร้าน และเขานี่แหล่ะค่ะคือเหตุผลที่เรากับรุ่นน้องย้ายมาทำกะปิดร้าน ปกติแล้วโจจะเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้เพราะว่าเขามีมาตราฐานของตนเองสูง ทำงานเก่งและไวมาก จริงๆแล้วความสามารถในการทำงานขนาดนี้สามารถขึ้นเป็นผู้จัดการได้เลย แต่เขานั้นแก่เกินไป(เพิ่งมาทำได้ไม่นาน) ซึ่งโจจะมีปัญหาเวลาทำงานกับพวกเด็กไฮสคูลเมกา เพราะเด็กพวกนั้นมักทำงานไม่สะอาด ไม่เป็นระเบียบ ทำแบบส่งๆไปที ตอนแรกที่เมเนเจอร์จัดให้เราทำกับโจ พวกเราก็กลัวๆเพราะว่าโจหน้าดุ ไม่ยิ้มเลยแม้แต่น้อย แต่พอทำไปทำมาก็รู้จักกันมากขึ้น เข้าขากันเรื่องงานได้ดีมาก เพราะเราทำงานดี ส่วนรุ่นน้องเรานี่เป็นระเบียบมาก(ออกแนวย้ำคิดย้ำทำนิดๆ 55) หลังจากนั้นพวกเราก็เลยย้ายมาทำกะที่ต้องปิดร้านตลอด โดยวันไหนที่เราไม่ได้เอาจักรยานมาทำงาน โจก็จะไปส่งพวกเราที่บ้านพักตลอด หลังจากนั้นพวกเราก็มีไปเที่ยวบ้านโจ ทำอาหารไทยให้กิน ภรรยาโจทำพิซซ่าให้กินบ้าง โดยโจมีภรรยาที่น่ารักพร้อมกับหมาแก่ 1 ตัวค่ะ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากค่ะ ซึ่งเวลาอยู่กับโจนี่สบายใจเหมือนอยู่กับพ่อเลยค่ะ ไม่เคยต้องกังวลเรื่องฉันท์ชู้สาวเลย ตอนที่พวกเราจะกลับโจก็ร้องไห้หนักมากค่ะ โดยเราให้คำสัญญาไว้่ว่าเราจะกลับไปหาโจแน่นอน ซึ่งเราจะทำมันให้ได้ค่ะ แม้ว่าตอนนี้จะทำเบอร์ของโจหายไปเพราะมือถือตกน้ำ เหลือเพียงแต่คอนแทกในเฟสบุคซึ่งโจไม่เคยเข้ามาตอบเลย T T ซึ่งหลังจากเรากลับไทยมาไม่นานโจก็ลาออกจากร้านค่ะ และมีผู้จัดการหลายคนก็ออกมาด้วยเหมือนกัน โจออกเพราะพวกเราค่ะ โจบอกว่าถ้าพวกเราไปก็ไม่มีใครที่ทำงานกับโจได้อีกแล้ว และโจก็ทนทำไปโดยที่ต้องคิดถึงพวกเราไม่ได้ค่ะ แต่ผู้จัดการคนอื่นๆนี่ไม่ใช่เพราะเราน้า
นี่คือพิซซ่าที่ภรรยาของโจทำให้กินค่ะ หน้าเยอะมาก ขอบอร่อยยย
นี่คือตอนที่เราเท้าเจ็บและโจไปรับมาทำกับข้าวค่ะ เราแวะมาซื้อของที่ Walmart กันก่อน เราเดินเองไม่ได้เลยต้องใช้รถเข็นค่ะ |
นี่คือภาพวันสุดท้ายที่ได้เจอกัน ก่อนเราจะเดินทางกลับไทยค่ะ (แนนขับรถมาส่งที่สนามบิน) โจร้องไห้เลยค่ะ |
สิ่งที่ประทับใจ2 : เรื่องนี้เราภูมิใจนำเสนอมากค่ะ ต้องทำใจหน่อยเพราะเราสายแดกจริงๆ 555 มีร้านอาหารญี่ปุ่นร้านนึงค่ะ เป็นแบบ fusion อยู่ที่ Okemos(ติด Lansing) ชื่อร้าน Maru sushi ตอนแรกสุดคือ Mike กับภรรยาพาพวกเราเด็กไทยไปกินต้อนรับค่ะ ซึ่งหลังจากนั้นเราก็ติดใจมาตลอด ไปเมืองนั้นทีไรต้องไปกินทุกครั้ง คือ มันอร่อยมากจริงๆค่ะ ขนาดกลับไทยมายังไม่เคยเจอ fusion roll ที่ไหนที่อร่อยแบบนี้มาก่อน อร่อยทุกเมนูที่สั่งมากินเลยค่ะ
ปล.เผื่อใครได้ไป Michigan ร้านมันมีอยู่ 4 สาขานะคะ
![]() | ||
http://marurestaurant.com/
ราคาอาหารไม่แพงนะคะ ถ้าเป็น roll จะตกอยู่ที่ประมาณ 10-12$ ต่อจาน และบอกเลยว่าจานนึงเยอะค่ะ
อร่อยทุกอย่างค่ะ ใครมีโอกาสแล้วต้องไปลองนะคะ |
มาถึงช่วงสุดท้ายที่ทูกคนอยากจะรู้กันมากเหลือเกิน นั่นคือ เรื่องเงินนั่นเอง
ค่าใช้จ่าย
- ค่าโครงการ 42,900 บาท
- ค่าวีซ่า 6,000 บาท
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 33,000 บาท
- pocket money 30,000 บาท
- ค่าที่พัก สัปดาห์ละ 75$ x 16 สัปดาห์ = 42,000 บาท
- ซื้อ note book 800$ = 28,000 บาท
- ค่าเที่ยว-กิน-ซื้อของอื่นๆ 500$ = 17,500 บาท
รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด = 199,400 บาท
รายได้
รายได้
- รายได้จาก McD ดูจากเช็คใบสุดท้ายที่ได้ คือ 7,243.69 USD = 253,505 บาท (นี่คือรายได้ที่โดนหักภาษี 2 อย่างไปแล้วค่ะ)
- Tax refund มี 2 ใบ ได้เท่ากับ = 160$ + 600$ = 26,600 บาท (หักค่าบริการ tax refund และค่าขึ้นเช็คไปแล้่ว)
รวมรายได้ทั้งหมด = 280,000 บาท
ดังนั้น รายได้จริงๆ(net ที่หักค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว) = 280,000-199,400 = 80,600 บาท
สรุปแล้ว ถ้าถามว่าได้เงินมั้ย ก็คือ ได้ แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเราและงานที่ได้ด้วย จะเห็นว่าถ้าเราไม่ซื้อโน้ตบุ้คเราก็จะมีเงินกลับบ้านมาอีกเกือบสามหมื่นหรือถ้าหากเราซื้อของไร้สาระให้น้อยลงก็จะมีเงินเก็บมากกว่านี้ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะทำเหมือนเดิม เพราะนี่คือของที่เราอยากได้และมันเป็นเงินที่เราหาได้มาด้วยแรงกายของเรา ดังนั้น อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์ในการมา work and travel ของเราคืออะไร มาหาเงิน มาเที่ยว มาเอาประสบการณ์ มาเอาภาษา ฯลฯ ฝันอะไรไว้ก็ไปให้ถึง ถ้ามันไม่ได้ทำให้พ่อแม่หรือใครต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่เราทำ อย่าเป็นเหมือนเราที่มานั่งเสียใจทุกวันนี้เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำและมันก็อาจจะไม่มีโอกาสแล้ว
ปัจจัยที่ทำให้ได้เงินมากหรือน้อย
- สถานที่ทำงานหลักที่เราทำสัญญาก่อนไป : rate เท่าไหร่ ค่าที่พักเป็นยังไง สวัสดิการดีไหม เอาจริงๆ ถ้า rate อยู่ที่ 7.5-8$/hr นี่ถือว่าไม่เยอะ (เราโชคดีที่นายจ้างให้ทำชม.เยอะมากๆ แต่ส่วนใหญ่หายากที่เขาอยากจ่าย overtime นะ) ถ้าที่พักเกิน 100$/สัปดาห์ เราว่าแพง (พูดถึงโดยรวม ไม่นับเมืองหรือสถานที่ที่ค่าครองชีพสูง) คือ ต้องดูโดยรวมว่า 2 อย่างมันสมดุลกันไหม ไม่ใช่ว่าเรทน้อยค่าบ้านแพง
- เมืองและรัฐที่ไปอยู่ : ค่าครองชีพแพงไหม เป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ สามารถหางาน 2-3 ได้ง่ายแค่ไหน โดยแหล่งท่องเที่ยวนั้นจะหางานได้ง่ายกว่า เพราะมีลูกค้าเยอะจึงต้องการพนักงานมาก ทั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับข้อถัดไป นอกจากนี้ยังมีเรื่องของรัฐที่มีภาษีแตกต่างกัน บางรัฐนั้นไม่มี state tax ทำให้ได้เงินได้เต็มกว่า (ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำ tax refund ส่วนมากจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2000-4000 บาท แล้วแต่จำนวนเงิน)
- เดือนที่เราไปถึง : โดยปกติแล้วคนที่ไปถึงที่ทำงานก่อน ทำ social security card ก่อนก็มีสิทธิ์ได้งานก่อน (คือ โอกาสมากกว่า) แต่ถ้าเป็นตามแหล่งท่องเที่ยวนั้น ช่วงเดือนที่ลูกค้ามามาก คือ June-July-August เราก็จะมีสิทธิ์ได้งานในเดือนนั้นๆมากกว่าช่วง May
- ระดับภาษาของเรา : ถ้าคนที่ระดับภาษาดีก็จะสามารถเลือกงาน 2 ที่จะไปสมัครได้มากกว่า นอกจากนี้ระดับภาษาก็ยังเกี่ยวข้องตอนที่เราไปขอสมัครงานหรือสัมภาษณ์งานที่ 2 ด้วย ถ้าหากไปคุยกับเขาไม่รู้เรื่องเขาก็คงไม่รับ
- การใช้จ่ายของเรา : อันนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างนึงที่ส่งผลต่อการเก็บเงิน ใช้จ่ายสุรุสุร่ายหรือป่าว? ชอบซื้อของมากแค่ไหน อย่างเราไม่ใช่สายช็อปก็เลยไม่มีปัญหาอะไรค่ะ เราสายแ_ก 555
- การไปเที่ยว : ข้อนี้แต่ละคนมีความฝันที่แตกต่างกัน ถ้าคนที่ไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้กลับไปหรือไม่ แล้วฝันว่าอยากเที่ยวก็แนะนำให้เที่ยวไปเลย ถ้าจะไปกับทัวร์ก็ดูดีๆ ที่ไว้ใจได้ ถ้าจะไปแบคแพคก็ให้ระวังตัว บางที่ก็มิจฉาชีพเยอะ แต่ถ้าคนที่เฉยๆกับการเที่ยว อยากเก็บเงินให้มากที่สุด ก็ไม่ต้องไปเที่ยวตามคนอื่นเขา ส่วนคนที่อยากเที่ยวและอยากประหยัดเงินไปด้วย ก็แนะนำว่าให้วางแผนเที่ยวตั้งแต่แรก(ก่อนซื้อตั๋วเครื่องบิน)ว่าอยากเที่ยวไหน เพราะว่าเราสามารถขอ stop over จากสายการบินได้ โดยอาจเสียเงินเพิ่ม(หรือไม่เสียก็ได้) แล้วแต่สายการบินและไฟลต์ต่อ ซึ่งแบบนี้จะถูกกว่าการซื้อตั๋วไปเที่ยวแยก
This is your life. Go live. Make your own story.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น