เรื่องนี้เป็นการเล่าย้อนหลังนานมาแล้ว...เพราะมีหลายคนที่อยากรู้และอยากเห็นว่าบรรยากาศตอนที่ไป WAT (ต่อไปนี้จะเรียกย่อๆว่า "เวิ้ค") ที่ยังเป็นช่วง spring ของอเมริกานั้นเป็นอย่างไร (เดี๋ยวนี้คนส่วนใหญ่จะไปช่วง summer ของอเมริกากันละ) นอกจากนี้ข้อมูลของที่ Odessa, Texas และการไปทำพวก Fast food ก็ค่อนข้างน้อยมากๆ เลยอยากมาแชร์เรื่องของเราให้ฟังกันค่ะ
ปล1.เดี่ยวจะมาอัพเดทภาพบรรยากาศเพิ่มเติมให้อีกทีค่ะ (ต้องไปค้นไฟล์จาก HDD ก่อน - -")
ปล1.เดี่ยวจะมาอัพเดทภาพบรรยากาศเพิ่มเติมให้อีกทีค่ะ (ต้องไปค้นไฟล์จาก HDD ก่อน - -")
ในปีนั้นเราเลือกไปกับเอเจนซี่เจ้าใหญ่เจ้าดังของไทย พูดชื่อไปรับรองว่าใครๆก็รู้จัก ขึ้นต้นด้วยตัว A ลงท้ายด้วย XYZ ก่อนไปหาที่นี่ก็ดูไว้หลายเอเจนซี่เหมือนกัน แต่ที่ตัดสินใจเลือกที่นี่เพราะตอนนั้นคิดว่ามันเป็นปีแรกที่เราไป เราควรจะไปกับเอเจนซี่ที่ใหญ่ๆ มีความน่าเชื่อถือดีกว่า (อันนี้คือคิดเอาเองล้วนๆค่ะ) แม้ราคาจะสูงกว่ามากก็ตาม
ปล2. เพิ่งทราบมาว่าตอนนี้(เห็นว่าตั้งแต่ปี 2014) Location นี้ ได้กลายเป็น premium location ของ agency นั้นไปแล้ว คือ แบบสงสัยว่าทำไมถึงพรีเมียมวะ มีอะไรให้พรีเมียม(หยาบ 555) หรือเพราะได้เรทเงินสูง? เอาเป็นว่าขอให้รีวิวหรือประสบการณ์อันนี้ช่วยให้น้องๆสามารถตัดสินใจกันได้แล้วกันนะจ๊ะว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมือง Odessa นี้ร้านอาหารเยอะมากๆๆๆ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ทำ KFC ที่นั่นน้า คือ มันไปร้านอาหารได้ทั่วเมืองเลยอะ แล้วแต่ดวงจริงๆ คนที่มาที่นี่แล้วได้ดี ได้เงินมหาศาลบานตะไทเลยก็มี
ปล2. เพิ่งทราบมาว่าตอนนี้(เห็นว่าตั้งแต่ปี 2014) Location นี้ ได้กลายเป็น premium location ของ agency นั้นไปแล้ว คือ แบบสงสัยว่าทำไมถึงพรีเมียมวะ มีอะไรให้พรีเมียม(หยาบ 555) หรือเพราะได้เรทเงินสูง? เอาเป็นว่าขอให้รีวิวหรือประสบการณ์อันนี้ช่วยให้น้องๆสามารถตัดสินใจกันได้แล้วกันนะจ๊ะว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี ทั้งนี้ทั้งนั้นในเมือง Odessa นี้ร้านอาหารเยอะมากๆๆๆ แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ทำ KFC ที่นั่นน้า คือ มันไปร้านอาหารได้ทั่วเมืองเลยอะ แล้วแต่ดวงจริงๆ คนที่มาที่นี่แล้วได้ดี ได้เงินมหาศาลบานตะไทเลยก็มี
วันแรกที่ไปที่เอเจนซี่ก็ไปกับเพื่อน 1 คน และรุ่นน้องอีก 1 คน จำไม่ได้ว่าสัมภาษณ์ได้เลเวลอะไรแล้ว หลังจากนั้นก็ทำการเลือกงาน ที่นี่จะให้เลือก 3 อันดับ ถ้าอันดับแรกไม่ได้ก็จะเลื่อนๆลงไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าอยากไปทำงานอะไร หรือที่รัฐไหนกันเลย (ตอนแรกว่าจะไปด้วยกัน 3 คน แต่สุดท้ายเราไปกับรุ่นน้อง 2 คน เพราะเพื่อนแยกไปอีกรัฐนึง) หลังจากหาข้อมูลของรัฐต่างๆที่อเมริกาอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ประกอบกับรายละเอียดงานในที่ต่างๆ ก็ทำให้เราตัดสินใจดังนี้
- Fast food @ Odessa, TX. (ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าทำร้านไหน)
- Ober Gatlinburg @ Tennessee
- จำไม่ได้แล้วค่ะ
ลืมบอกไปว่า route ที่ทางเอเจนซี่เลือกให้นี่ต่อเครื่องหลายรอบมากๆ (น่าจะหลอกกินเงินเด็กไปจากส่วนนี้ด้วยค่ะ เพราะจริงๆถ้านั่งหลายต่อขนาดนี้ราคาต้องถูกลง แต่นี่ราคา 47500 = =) คือ จาก BKK > China > San francisco > Dallas > Midland แล้วนายจ้างมารับไปที่ Odessa (เป็นเมืองติดๆกัน) คือ เหนื่อยเดินทางมาก แต่สนุก! อาจเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เปิดหูเปิดตาเมืองนอกก็เป็นได้
ปล.3 ปีที่ 2 ที่เราไป เราซื้อตั๋วเครื่องบินเอง(ไปคนละที่นะ) บอกเลยว่าถูกกว่ามากมาก ทำให้รู้ได้ว่ามันน่าจะแอบกินเงินพวกเราค่าตั๋ว
ปล. หากใครอยากปรึกษาเรื่องตั๋วก็ถามเราได้ค่ะ ยินดี แล้วจะบอกเลยว่าหากเจ้าไหนที่บังคับซื้อตั๋วกับเขา 90% คือ หลอกกินเงินเราค่ะ(ส่วนตัวแล้วไม่ชอบเอเจนซี่แบบนี้เลย ค่าโครงการก็เอาไปตั้งเยอะแล้ว ยังจะมาเอาค่าตั๋วอีก)
ตอนที่ถึง Dallas ได้เมลล์หานายจ้างแล้วว่า ฉันอยู่นี่แล้วนะ จะถึงที่สนามบิน Midland กี่โมง เพื่อรอให้นายจ้างมารับไป แต่พอถึงที่สนามบินแล้วนายจ้างยังไม่มา ต้องไปหยอดโทรศัพท์ตู้หานายจ้างว่ามารับด้วย อีพวกกะเหรี่ยงมาถึงแล้วเว้ย! หลังจากนั้นก็รอไปเกือบ ชม. นายจ้างก็มา แล้วเขาก็พาไปที่พัก ชื่อ Arbor point (ปัจจุบัน 2016 มันเปลี่ยนชื่อไปแล้ว) ที่พักนี้อธิบายยากมากว่าเป็นอย่างไร เพราะไม่รู้ว่าจะใช้คำศัพท์คำไหนในการอธิบาย มันเป็นเหมือนที่ที่มีบ้านหลังใหญ่(หน้าตาคล้ายบ้านแต่ไม่ใช่) หลายๆหลังอยู่ด้วยกัน (ประมาณ 20+ หลัง) โดยในบ้าน 1 หลังจะแบ่งเป็น 4 apartment ย่อย โดยใน 1 apartment จะมี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น มีครัวทำอาหาร ค่าเช่าอยู่ที่ 100$/สัปดาห์
เพิ่มเติม ที่พักนี่มีแต่เด็กเวิ้คอาศัยอยู่ประมาณ 70+ ได้ มีมาจากหลายเอเจนซี่เลยล่ะ
ที่พัก (ขออนุญาติพี่เจ้าของภาพแล้วค่ะ : หนึ่งในพี่ผู้ชายที่ทำงานที่ KFC ด้วยกัน)
![]() |
ไอ้เลข 3 ที่บอกนี่แหล่ะค่ะที่เราเรียกว่า บ้าน ถ้ามองดีๆข้างล่างเลข 3 จะเป็นเลขของแต่ละ apartment ในบ้านหลังนั้นอีกทีค่ะ |
![]() |
ภาพนี้คือ ห้องนั่งเล่นภายใน apartment ของพี่เขา |
![]() |
อันนี้เหมือนอพาร์ทเมนต์เรามา คือ เราอยู่ขวาบน (เมื่อหันหน้าเข้าบันไดของบ้าน) |
![]() |
บรรยากาศภายในเวิ้งของที่พัก ก็จะมีสนามเด็กเล่น ลานปูนไม่ใหญ่มาก ตกเย็นก็จะมีเด็กๆมาเล่นกัน นี่คือวิวจากระเบียงอพาร์ทเมนต์ค่ะ เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า |
![]() |
ภาพแสดงหมู่ห้างหน้าอพาร์ทเมนต์ค่ะ (คาดว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อแล้ว) อยากกินอะไร ช้อปอะไรมาที่นี่เลย |
วันต่อมาอีตา Sergio นัดเด็กไทยที่ต้องทำงาน KFC สาขาเรา ไปทำ social security card กัน ทำให้เรารู้ว่าพวกเรามีกันทั้งหมด 7 คน (หญิง 4 ชาย 3) ที่สาขานี้ที่ต้องเดิน 50 นาที ขั้นตอนการทำนั้น...จำไม่ได้แล้วค่ะว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง (ลองหาจากที่อื่นๆดูค่ะ คิดว่ามีข้อมูลเยอะ) เพราะมันนานมากแล้วจริงๆ แต่จำได้ว่าต้องรอ SSC นี่ส่งมาที่บ้าน 7 วัน แต่จะได้เลขแล้วตั้งแต่วันที่ 3-4 หลังจากที่ทำเสร็จแล้ว Sergio ก็พาพวกเราทั้งหมดไปที่ KFC อีกครั้งเพื่อพบกับ manager
เมื่อไปถึงที่ร้าน KFC อีกครั้ง พวกเราก็ได้เห็นว่าที่นี่มี Buffet! คือ แปลกมาก ไม่เคยเห็นบุฟเฟต์เคเอฟซีมาก่อนในชีวิตงะ แล้วก็พบกับรองหัวหน้า manager ชื่อ Erica ชีเป็นละตินที่เกิดที่อเมริกา พูดได้ 2 ภาษาคือ สเปนกับอังกฤษแบบ native ชีเป็นคนน่ารัก แอกทีฟมากๆ หลังจากนั้นพวกเราชาวไทยก็ได้เสื้อ KFC ที่ต้องใส่ตอนทำงานมากันคนละ 2 ตัว (หรือ 3 จำแน่ๆไม่ได้) และก็ได้ตารางทำงานในสัปดาห์แรก โดยตารางทำงานจะออกใหม่ทุกๆสัปดาห์ จะต้องคอยมาเช็คตารางงานเอาว่าเป็นอย่างไร โดยนายจ้างนั้นอนุญาติให้พวกเราชาวไทยได้อาหารฟรี 1 มื้อต่อวัน (ดีมากค่ะ ได้กิน KFC ทุกวัน ดีต่อเสุขภาพสุดๆ 555 แต่ประหยัดเงินไปได้เยอะจริงๆค่ะ) หลังจากนั้นชีก็แนะนำเกี่ยวกับร้านว่าเปิดกี่โมงถึงกี่โมง มีบุฟเฟต์วันไหนบ้าง เวลาอะไร โดยที่นี่มีผู้จัดการทั้งหมด 4 คนด้วยกัน คือ![]() |
นี่คือหน้าตา KFC สาขาที่เราไปทำค่ะ |
- Angela เป็นหัวหน้าผู้จัดการ (ชีเป็นหญิงผิวขาวอ้วนที่มีนิสัยไม่น่ารัก ชอบจิกกัดคน แต่ตัวเองไม่ยอมทำงานเลย วันๆนั่งอยู่แต่ในห้องผู้จัดการ แต่พวกเราชาวไทยไม่ค่อยมีปัญหากับนาง)
- Erica รองหัวหน้าผู้จัดการ (สาวละติน อายุ 25 ปี ชีเป็นคนน่ารัก ปาร์ตี้เกิร์ล มีอารมณ์ขัน พาความสนุกมาให้ที่ทำงานตลอดเวลา รู้จักผ่อนผันกฎเกณฑ์ ไม่แข็ง ทำให้ทุกคนในที่ทำงานรักนางมาก รวมถึงคนไทยทุกคน)
- Kerry ผู้จัดการ (เป็นผู้จัดการผู้ชายคนเดียวในร้าน อายุประมาณ 50 กว่า นี่ก็ใจดีเหมือนกัน แต่มีความเคร่งในกฎระเบียบมากกว่า Erica เรากับรุ่นน้องก็สนิทกับผู้จัดการคนนี้เหมือนกัน)
- Ty ผู้จัดการกะกลางคืน (เราจำชื่อเต็มๆของนางไม่ได้ แต่นางแนะนำตัวเองแบบนี้ ชีเป็นคนดำ ตอนแรกพวกเราก็โอเคกับนางนะ แต่ตอนหลังนางมีปัญหากับพวกเรา )
หลังจากคุยเสร็จพวกเราก็กลับที่พักและไปสำรวจห้างใกล้ๆบ้านอีกครั้ง ส่วนพวกผู้ชายนั้นตัดสินใจซื้อจักรยานเพื่อปั่นไปที่ทำงานกัน แต่ผู้หยิงคนอื่นๆจะลองเดินและนั่งบัสไปทำงานดูก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วถ้ามันออกมาไม่โอเคก็ค่อยมาซื้อจักรยานอีกที
เส้นทางการเดิน
![]() |
เส้นทางที่ 2 ไม่มีอะไรพิเศษ |
![]() |
เส้นที่ 3 ไม่มีอะไรพิเศษเช่นกัน
เส้นทางการนั่ง bus เป็นของบริษัท EZ rider
รถวิ่ง 6:15 a.m. to 6:10 p.m. หยุดวันอาทิตย์ค่ะ โดยพวกเราต้องนั่งรถ 2 ต่อกว่าจะไปถึงที่ทำงานได้
ภาพนี้คือเส้นทางการเดินบัสในเมืองค่ะ สีต่างๆแทนสายของรถบัส สามารถเข้าไปดูแบบเต็มๆได้ที่ link โดยตรงค่ะ
เราเริ่มจากนั่งบัสสายสีฟ้า (สาย 4) มาลงที่ music city mall และต่อบัสสายสีเขียวเข้ม (สาย 3)
|
อันนี้คือตารางที่เอามาจากเว็บของบริษัทค่ะ ปกติเราก็จ่ายเป็นขาๆไปค่ะ(เนื่องจากมักจะนั่งแต่ขาไปทำงานอย่างเดียว) แต่ถ้าหากวันไหนเราไปเที่ยวหรือดูเวลาแล้วว่าเราไป-กลับบัสได้ก็จะซื้อเป็น All day pass ค่ะ
เพิ่มเติมข้อมูล : มีคนขับรถบัสคนนึงใจดีมากค่ะ แกเป็นคนลาว หนีสงครามไปอยู่ที่นั่นได้หลายปีแล้ว คือ ตอนแรกแกเข้ามาทักเรากับเพื่อนๆด้วยภาษาไทยก็เลยสนิทกัน หลังๆแกเริ่มมีความแปลก คือ ตามมาเฝ้าเราถึงที่ KFC แล้วรอเราเลิกงาน
ช่วงแรกของการทำงานนั้นก็ต้องมีการเรียนรู้ก่อน โดยผู้จัดการเป็นคนสอนซะส่วนใหญ่ ตอนแรกเราได้ทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ ส่วนรุ่นน้องเป็นแพคเกอร์ แต่หลังๆพวกเราก็ทำงานทุกอย่างยกเว้นแต่ทอดไก่ค่ะ
<< ให้ความรู้ก่อนว่า ไก่ทอดที่ KFC นั้น ปกติมีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันค่ะ คือ breast อก, wing ปีก, thigh สะโพก, drumstick น่อง โดยอกกับปีกเป็นเนื้อ white ส่วนสะโพกกับน่องเป็นเนื้อ dark แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันค่ะ โดยเนื้อส่วน white จะไขมันและความมันน้อยกว่า เราต้องแยกให้ออกไม่งั้นจะหยิบให้ลูกค้าผิดค่ะ>>
<< ให้ความรู้ก่อนว่า ไก่ทอดที่ KFC นั้น ปกติมีทั้งหมด 4 ส่วนด้วยกันค่ะ คือ breast อก, wing ปีก, thigh สะโพก, drumstick น่อง โดยอกกับปีกเป็นเนื้อ white ส่วนสะโพกกับน่องเป็นเนื้อ dark แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันค่ะ โดยเนื้อส่วน white จะไขมันและความมันน้อยกว่า เราต้องแยกให้ออกไม่งั้นจะหยิบให้ลูกค้าผิดค่ะ>>
- การเป็นแคชเชียร์หน้าร้าน : เราว่าไม่ยากเลยเพราะเมนูมันก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายเท่าไหร่เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ขั้นตอนก็ไม่ยาก(หลังจากที่เขาสั่งแล้วว่าเอาเซ็ทนี้ ชุดนี้) คือ ถามว่าเอาไก่แบบไหน เอา side dish เป็นอะไร บอกราคา จบ แต่ก็อาจมีบางคนที่เข้ามาถามเราว่าเขาอยากกินแบบนี้ๆให้แนะนำให้หน่อยว่าเป็นเซ็ทอะไรดี หรืออาจถามเกี่ยวกับเมนูบุฟเฟต์ในวันนั้นๆว่ามีอะไรบ้าง คือรวมๆแล้วไม่ยากนะ ถ้าฟังออกชัวๆคือทำได้ แต่ที่ยากสำหรับเราก็คือ ลูกค้าพูดภาษาสเปน!!! ไม่สามารถสื่อสารรู้เรื่องจริงๆ เวลามีลูกค้าพูดสเปนมา(ซึ่งเยอะมาก) ก็ต้องตาม Erica หรือคนอื่นๆที่พอฟังสเปนรู้เรื่องมาช่วยด้วย โดยแคชเชียร์มีหน้าที่ในการจัดอาหารให้กับลูกค้าหน้าร้านด้วย แต่ถ้าหาก packer ว่างก็จะมาช่วยเรา
- การเป็น packer : อันนี้ก็ไม่ยาก และสนุกมาก หน้าที่ก็คือจัดอาหารใส่กล่องตามที่ลูกค้าสั่ง มันจะมีหน้าจอมอนิเตอร์แปะไว้ข้างๆตู้อบอุ่นอาหาร ซึ่งหน้าจอจะแบ่งฝั่งไว้เป็นหน้าร้านกับ drive thru เราก็จะต้องดูตามคิวแล้วก็จัดอาหารตามนั้นให้ครบ แต่ในช่วงที่ drive thru คนเยอะมากๆ เราก็จะใส่เฮดโฟนไปด้วย เพื่อฟังไปในขณะเดียวกันเลยว่าลูกค้าสั่งอะไร(ไม่ต้องรอ order ขึ้นที่หน้าจอ จะจัดได้ไวกว่า) นอกจากนี้แพคเกอร์ก็ต้องคอยตรวจอาหารว่าอาหารที่มีในตู้อบนั้นใกล้จะหมดรึป่าว หรือหมดอายุไหม ถ้าหากใกล้หมดแล้วก็ต้องทำการแจ้ง prep ว่าให้ทำเพิ่ม
อันนี้กำลังเลือกไก่จากตู้อบอาหารใส่ bucket ค่ะ - การเป็น prep : งานเยอะมาก แต่ถ้าจัดสรรเวลาในการทำอาหารต่างๆได้ดีก็จะไม่มีปัญหาอะไร คือ เราต้องวางแผนว่าเราจะทำอะไรก่อน-หลัง อันไหนต้องใช้เวลาในการทำเท่าไหร่ ระหว่างที่รอสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้าหากไปกะเปิดร้านเราก็ต้องเตรียมทุกอย่างที่กล่าวไปด้านบน โดยเริ่มจากเอา mac n cheese (มาเป็นถาดอลูใหญ่ๆ) + ข้าวโพดฝักแช่แข็ง ใส่น้ำ + บิสกิตโด เข้าตู้อบ (เวลาในการอบแต่ละอย่างไม่เท่ากัน) > ระหว่างรอของในตู้อบก็มาทำ mash potato วิธีทำก็ไม่ยากเพราะมีเครื่องคนให้ ใส่ผงมันฝรั่ง(มาเป็นถุง) ใส่น้ำ ใส่เนยเหลว แล้วทำการใช้เครื่องคนจนเข้ากัน และระหว่างรอเครื่องคน เราก็มาทำน้ำ gravy ที่ใช้ราด แค่เอาน้ำเปล่าผสมกับผงเกรวี่(มาเป็นถุง) หลังจากเครื่องคนเสร็จเราก็ใช้ scoop ตักออกมาใส่ภาชนะ (ที่อเมริกาจะมีขนาดเล็กกับขนาดใหญ่) แล้วก็ราดน้ำเกรวี่ เสร็จ! พอทำ mash potato เสร็จก็นำภาชนะไปเข้าตู้อบอาหารให้อุ่นอยู่ตลอดเวลา > ของในตู้อบเสร็จพอดี (บิสกิตจเสร็จก่อนที่ 18 นาที) บิสกิตเมื่อเอาออกมาแล้วต้องทาเนยเหลวด้านบนเพื่อทำให้หอม หลังจากนั้นก็มาตัก mac n cheese ใส่ในภาชนะโดยใช้ scoop เช่นกัน ส่วนข้าวโพดนั้นก็ต้องเอามาห่อฟอยล์อลูมิเนียมเพื่อทำให้มันไม่แข็งเวลาเอาเข้าตู้อบแล้ว จะเห็นว่าต้องวางแผนดีๆในการทำและต้องคอยไปตรวจอาหารในตู้อบอาหารตลอดเพื่อดูว่าของอะไรที่ใกล้จะหมดบ้าง เพราะของบางอย่างใช้เวลานานให้การอบ(แมคชีสใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชม)
นี่คือกำลังทำน้ำเกรวี่ค่ะ อันนี้คือเครื่องทำ mash potato ค่ะ เสร็จแล้วก็ตักใส่ถาดอลูเพื่อนำไปวางไว้ในไลน์บุฟเฟต์ - การเป็นคนทอดไก่ : งานนี้บอกแล้วค่ะว่าหนัก ต้องใช้แรงในการยกไก่ ขั้นตอนแรกก็ต้องมาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องไก่ก่อนว่าแบบไหนคือ white กับ dark นอกจากนี้ก็จะมี hot wing (อร่อยมากๆๆ เดี๋ยวจะพูดต่อไปค่ะ) , boneless, bites, stripes แต่วิธีการทอดไก่มีแค่ 2 แบบค่ะ คือ original กับ crispy ซึ่งนอกจากไก่แล้วก็จะมี wedges (มันคือมันฝรั่งทอดนั่นแหล่ะ แต่แท่งใหญ่ๆหน่อย)
นี่คือโต๊ะคลุกแป้งค่ะ โดยจะต้องนำไก่สดที่แพคมา มาคลุกกับแป้งที่เราต้องผสมค่ะ (แต่ในภาพกำลังจะทำความสะอาดค่ะ นี่คือเวลาปิดร้านแล้ว)
![]() |
wedges ของ KFC ฮะ |
ลืมบอกไปว่าพวกเราได้ค่าแรง ชม.ละ 10$ ค่ะ เราได้ทำงานตกสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 35 ชั่วโมง บางวีคได้เกิน 40 เพราะไม่มีคนทำงาน แต่ช่วงใกล้ๆจะกลับนี่ได้ ชม.น้อย ประมาณ 30-32 ชมต่อสัปดาห์เอง โดยจะได้เงินเป็นเช็คทุกๆ 2 สัปดาห์ และค่าบ้านจะหักออกจากเช็คเลย โดยรวมๆก็โอเคนะ เราไม่ได้งานสองด้วย ถ้าได้งานสองด้วยจะคุ้ม แต่จะบอกว่าค่าบ้านนี่แพงค่ะ ลองๆหาเองจะได้ถูกกว่านั้น
ปล.4 ได้คุยกับเด็กที่มาเวิ้คที่นี่แต่มากับเอเจนซี่อื่น..บางเอเจนซี่คิดค่าบ้านแค่ 75$/สัปดาห์เอง ทั้งๆที่เป็นที่พักที่เดียวกัน
ปล.5 manager บอกว่าที่นี่ต้องการคนงานร้านอาหารเยอะมาก(เลยรับเด็กไทยไป) เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่ คนนิยมไปทำงานกรรมกรเนื่องจากเงินเยอะกว่าเท่านึง คือ พวกเราได้เงินกันชมละ 10$ งานกรรมกรกลางแจ้งได้ 17-24$ ประมาณนี้
การหางานที่ 2 : กว่าเราจะได้ ssc นั้นก็ปาไปตอนต้นเดือนเมษายนแล้วค่ะ ช่วงนั้นเด็กเวิ้คมากันเต็มที่แล้วซึ่งก็มาพักที่เดียวกันนี่แหล่ะค่ะ (เข้าใจว่าเด็กเวิ้คทุกที่ที่มาทำงานที่ Odessa,TX. จะได้พักที่นี่เป็นภาคบังคับค่ะ ไม่ว่าจะมาจากเอเจนซี่ไหนก็ตาม) ทำให้ร้าน fast food ที่อยู่ด้านหน้าที่พักของเรานั้นเต็มหมดแล้ว ไม่รับคนแล้ว เหลือแต่ที่ไกลๆซึ่งมีเป็นกะดึกไม่ก็ grave yard ไปเลย เราสมัครไปบ้างแต่ปัญหาคือเราไม่ได้ซื้อซิมโทรศัพท์ คือ งกมาก ทำให้สุดท้ายไม่ได้งานสองเลย เพราะทางโน้นไม่รู้จะติดต่อยังไง (เขาไม่อยากติดต่อทางเมลล์อยู่แล้วในเมื่อโทรเอาง่ายกว่า) ดังนั้นแนะนำว่าใครอยากหางานสองสามต้องมีโทรศัพท์ให้เขาโทรมาหาได้นะ เรียกไปทำงานง่ายไรงี้ค่ะ
อาหารการกินที่ KFC : จากที่บอกไปแล้วด้านบนว่าเราได้รับอนุญาติให้กินฟรีได้ 1 มื้อในการทำงาน 1 วัน ดังนั้นพวกเราชาวไทยก็จัดกันเต็มที่เลยค่ะ!!! นอกจากนี้ถ้าหากเราทำกะปิดร้าน เราสามารถนำของเหลือทั้งหมดกลับบ้านได้ค่ะ!!! ของอร่อย คือ hot wing และ biscuit ค่ะ(อันนี้ทุกคนเฟิร์มเหมือนกัน) อร่อยมากๆ โดย hot wing นั้นเป็นไก่หมักเครื่องปรุงชุบแป้งมาเรียบร้อย (เวลาทอดนั้นง่ายมาก คือ แกะจากถุงแล้วทอดได้เลย ไม่ต้องคลุกแป้งเพิ่ม) คือ รสชาดมันเข้าเนื้อ โดยไม่ต้องโรยผงชูรสอะไรเหมือน wing zab บ้านเรา ส่วน biscuit นั้นจะกรอบนอกนุ่มใน เนื้อค่อนข้างร่วน หอมกลิ่นเนยมาก แนะนำให้กินกับเนยและน้ำผึ้งของ KFC คืออร่อยขึ้นสวรรค์เลย 555(จนทุกวันนี้ยังหาบิสกิตที่อร่อยเหมือนของ KFC ไม่ได้เลยค่ะ มีใครแนะนำที่ไหนมั้ย ><) ต่อมาคือ boneless ค่ะ อันนี้คือเนื้อตามส่วนต่างๆที่ทำการเลาะกระดูกออกแล้ว รสชาดเหมือนไก่ทอด KFC ปกติแต่ว่าไม่ต้องแกะหรือแทะให้เสียเวลา และ mac n cheese บางคนชอบมากค่ะ ชีสเป็นเชดดาร์ รสชาดมันๆเค็มๆ ส่วนตัวเราเฉยๆกับเมนูนี้นะคะ ทั้งๆที่ปกติเป็นคนชอบชีสมาก
อาหารการกินอื่นๆในชีวิตประจำวัน : ในตอนเช้าจะกินซีเรียล+นม ไม่ก็ขนมปังปิ้ง ไม่ก็มาม่าค่ะ (เราเอามาม่าไปทั้งหมด 40 ห่อ ขากลับเหลือประมาณ 5-6 ห่อค่ะ) ส่วนมื้อกลางวันก็ไปกินที่ร้าน ส่วนมื้อเย็นก็กินของเก็บกลับมาจาก KFC เช่นกัน 555 นอกจากนี้ก็ทำอาหารกินเองโดยรุ่นน้องของเราค่ะ ไม่ก็ไปกินบุฟเฟต์ที่ห้าง Music city mall ชื่อร้าน Buffet king คือ เป็นอาหารจีน มีซีฟู้ด(ของโปรดพวกเราค่ะ) ขนมหวาน แล้วก็ DIY อาหารเองค่ะ ราคาไม่แพงค่ะ ถ้าไปช่วงกลางวันจะแค่ 7 $ กว่าๆ แต่ถ้าเป็นตอนเย็นจะ 10 $ นิดๆค่ะ คือไปกินกันบ่อยมาก เรียกว่าไปถล่มร้านเขาดีกว่าค่ะ คิดว่าคนไทยไปกันทีร้านคงขาดทุน - - และก็จะมีอาหารที่คนในอพาร์ทเมนต์เดียวกันเอามาแชร์ค่ะ(เขาก็เอามาจากที่ทำงานของเขา)
อากาศช่วงที่ไป (ปลายมีนา-สิ้นพฤษภา) : ช่วงแรกเจอละอองหิมะด้วย(คือปีนั้นที่ไป คนที่โน่นบอกว่าเพิ่งเจอพายุหิมะมาในรอบหลายสิบปี) อากาศหนาวมาก ต่ำกว่า 10 C แต่ช่วงกลางๆเมษาก็อุ่นละ ประมาณ 15-20 C แต่จะบอกว่าตอนกลางคืนหนาวจริง ที่โน่นพระอาทิตย์ตก 2 ทุ่มกว่า แต่ประมาณ 6 โมง อากาศก็เริ่มเย็นละ ส่วนช่วงกลางพฤษภา ตอนกลางวัน อากาศเหมือนบ้านเราเลย ร้อนแล้ง แต่พอตกเย็นก็จะเย็นขึ้นมาหน่อย
ปัญหาที่ 1 ที่เกิดขึ้น : หลังจากที่ทำงานไปได้ซัก 3 อาทิตย์ พวกบอสของ KFC ก็เข้ามาที่ร้านบ่อยขึ้น บอกว่าเด็กไทยเยอะมากเกินไป 7 คนนี่รับไม่ไหว ให้ออก 3 คน!!!! ไล่กันออกดื้อๆทั้งๆที่ไม่ได้มีใครทำอะไรผิด (แต่เข้าใจได้ เพราะว่าเราไม่ได้ทำสัญญากับร้านโดยตรง แต่เราทำสัญญากับอี sergio ต่างหาก) สรุปก็คือ ผู้หญิงออก 2 ผู้ชายออก 1 แต่เรากับรุ่นน้องยังคงทำอยู่ที่ KFC
วิธีการแก้ปัญหาที่ 1 : ตอนแรกแจ้งทางเอเจนซี่ไป เขาบอกเลยว่าช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ต้องแจ้งทาง US sponsor อย่างเดียว ซักพัก Sergio บอกว่าเดี๋ยวนางจะหางานใหม่ให้ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าที่โดนไล่ออกไม่ใช่ความผิดของพวกเรา แต่ตอนนั้นพวกเราก็เครียดกันมากว่าจะตัดสินใจยังไงดีว่าให้ใครออก เพราะก็ไม่มีใครอยากเริ่มใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่างานใหม่ที่ได้จะเป็นงานอะไร สรุปงานใหม่ คือ Long John silver เป็นร้าน fast food ที่เป็นอาหารทะเลทอดๆ (ปรากฏว่าคนที่ออกไปได้ดีกว่าคนที่อยู่ เพราะร้านใหม่ของพวกเขาเวิ้คกว่าเยอะ 555) แถมใกล้ที่พักมากกว่าเดิมด้วยนะ เรื่องนี้ก็คงต้องยกความดีให้มันละน่ะที่อย่างน้อยก็รับผิดชอบหางานอื่นให้ ไม่งั้นอาจโดนส่งกลับบ้านมาแล้วก็ได้
ข้อคิด : จากเรื่องนี้ทำให้พวกเราทุกๆคนรู้เลยว่า เมื่อไปถึงที่อเมริกาแล้วนั้น You are on your own. ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่โน่นเราต้องช่วยเหลือตัวเอง แจ้งทาง US sponsor เขาคือคนที่ช่วยเราได้มากที่สุด โดยเอเจนซี่ที่ไทยนั้นมีประโยชน์แค่ดำเนินเรื่องให้เราไปที่เมกาได้แค่นั้นเอง ดังนั้นน้องๆเพื่อนๆคนไหนที่หวังจะพึ่งเอเจนซี่หากเกิดปัญหาขึ้นนี่ เลิกหวังได้เลยค่ะ (ปีที่ 2 ที่เราไป เราเลยเลือกเอเจนซี่เล็กๆ ราคาถูกมาก แต่ก็เกือบไม่ได้ไปละค่ะ แต่ถ้าหากใครได้เอเจนซี่ที่ดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือปัญหาก็ดีไปค่ะ)
ปัญหาที่ 2 : ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อกลับมาที่ไทยแล้ว คือ อีตา Sergio จะส่ง last pay check มาให้ทางไปรษณีย์ ซึ่งมันให้พวกเราเขียนซองจดหมายด้วยตัวเองแล้วเอาไปให้มัน พอกลับมาที่ไทยได้ประมาณ 2 เดือน คนไทยคนอื่นๆที่ไปเวิ้คที่นี่ได้เช็คกันหมดแล้ว...ยกเว้นเราเพียงคนเดียว ตอนแรกเราก็ติดต่อที่เอเจนซี่ไปว่ามีจดหมายไปหาเราหรือเปล่า ก็ปรากฎว่าไม่มี เราเลยบอกเอเจนซี่ไปแล้วมันก็ให้เราไปุถาม Sergio ว่าลืมส่งมาหรือเปล่า พอเราไปคุยกับ Sergio มันบอกว่ามันส่งมาหมดแล้วทุกคน ไม่มีของใครตกหล่น เราก็บอกว่าเรายังไม่ได้ แล้วมันก็บอกว่ามันส่งมาแล้วเท่ากับว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของมัน มันจะไม่ส่งมาให้ใหม่!!! คือ ใครจะไปยอมวะ จะบ้ารึป่าว? เงินตั้งหลายร้อยเหรียญ เราเลยไปแจ้งเอเจนซี่ว่าเกิดปัญหานี้ขึ้น...ปรากฏว่าก็เหมือนเดิม....พี่ช่วยอะไรน้องไม่ได้ น้องต้องแจ้ง US sponsor (หืม กูอยู่ไทยนี่ยังช่วยกูไม่ได้อีกนะ สึด!!!) สุดท้ายเราต้องจัดการปัญหาเองทุกอย่าง สากกะเบือยันเรือรบ ซึ่ง US sponsor ก็ช่วยคุยให้ สุดท้าย Sergio ยอมส่งเช็คมาให้ใหม่ แต่ขอหักค่าออกใหม่ไป 36$ คือ เหี้ยมากกกกกกก หักจนกูจะไม่เหลือละ
เพิ่มเติม : ตอนขากลับ Sergio ไม่คืนเงินมัดจำค่าบ้าน 100$ ค่ะ มันอ้างว่าเด็กไทยทำบ้านสกปรก ทั้งๆที่บางบ้านนี่เก็บกันเรียบมาก แดกเงินเหมือนเดิม - -
ข้อเสียของการไปที่นี่ : มีแต่เด็กไทยเยอะมากๆๆ คือ ไม่ได้ฝึกภาษาอย่างที่ควรจะเป็น (ซึ่งขัดกับเป้าประสงค์ในการไปเวิ้ค) เพราะในที่ทำงานด้วยกันก็มีแต่เด็กไทย ไปไหนมาไหนก็เจอแต่เด็กไทย ปาร์ตี้ก็ไปแต่ของเด็กไทย 555 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่าจะขวนขวายในการใช้ภาษาอังกฤษมากแค่ไหน
ปล.4 ได้คุยกับเด็กที่มาเวิ้คที่นี่แต่มากับเอเจนซี่อื่น..บางเอเจนซี่คิดค่าบ้านแค่ 75$/สัปดาห์เอง ทั้งๆที่เป็นที่พักที่เดียวกัน
ปล.5 manager บอกว่าที่นี่ต้องการคนงานร้านอาหารเยอะมาก(เลยรับเด็กไทยไป) เพราะว่าเมืองนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่ คนนิยมไปทำงานกรรมกรเนื่องจากเงินเยอะกว่าเท่านึง คือ พวกเราได้เงินกันชมละ 10$ งานกรรมกรกลางแจ้งได้ 17-24$ ประมาณนี้
การหางานที่ 2 : กว่าเราจะได้ ssc นั้นก็ปาไปตอนต้นเดือนเมษายนแล้วค่ะ ช่วงนั้นเด็กเวิ้คมากันเต็มที่แล้วซึ่งก็มาพักที่เดียวกันนี่แหล่ะค่ะ (เข้าใจว่าเด็กเวิ้คทุกที่ที่มาทำงานที่ Odessa,TX. จะได้พักที่นี่เป็นภาคบังคับค่ะ ไม่ว่าจะมาจากเอเจนซี่ไหนก็ตาม) ทำให้ร้าน fast food ที่อยู่ด้านหน้าที่พักของเรานั้นเต็มหมดแล้ว ไม่รับคนแล้ว เหลือแต่ที่ไกลๆซึ่งมีเป็นกะดึกไม่ก็ grave yard ไปเลย เราสมัครไปบ้างแต่ปัญหาคือเราไม่ได้ซื้อซิมโทรศัพท์ คือ งกมาก ทำให้สุดท้ายไม่ได้งานสองเลย เพราะทางโน้นไม่รู้จะติดต่อยังไง (เขาไม่อยากติดต่อทางเมลล์อยู่แล้วในเมื่อโทรเอาง่ายกว่า) ดังนั้นแนะนำว่าใครอยากหางานสองสามต้องมีโทรศัพท์ให้เขาโทรมาหาได้นะ เรียกไปทำงานง่ายไรงี้ค่ะ
อาหารการกินที่ KFC : จากที่บอกไปแล้วด้านบนว่าเราได้รับอนุญาติให้กินฟรีได้ 1 มื้อในการทำงาน 1 วัน ดังนั้นพวกเราชาวไทยก็จัดกันเต็มที่เลยค่ะ!!! นอกจากนี้ถ้าหากเราทำกะปิดร้าน เราสามารถนำของเหลือทั้งหมดกลับบ้านได้ค่ะ!!! ของอร่อย คือ hot wing และ biscuit ค่ะ(อันนี้ทุกคนเฟิร์มเหมือนกัน) อร่อยมากๆ โดย hot wing นั้นเป็นไก่หมักเครื่องปรุงชุบแป้งมาเรียบร้อย (เวลาทอดนั้นง่ายมาก คือ แกะจากถุงแล้วทอดได้เลย ไม่ต้องคลุกแป้งเพิ่ม) คือ รสชาดมันเข้าเนื้อ โดยไม่ต้องโรยผงชูรสอะไรเหมือน wing zab บ้านเรา ส่วน biscuit นั้นจะกรอบนอกนุ่มใน เนื้อค่อนข้างร่วน หอมกลิ่นเนยมาก แนะนำให้กินกับเนยและน้ำผึ้งของ KFC คืออร่อยขึ้นสวรรค์เลย 555(จนทุกวันนี้ยังหาบิสกิตที่อร่อยเหมือนของ KFC ไม่ได้เลยค่ะ มีใครแนะนำที่ไหนมั้ย ><) ต่อมาคือ boneless ค่ะ อันนี้คือเนื้อตามส่วนต่างๆที่ทำการเลาะกระดูกออกแล้ว รสชาดเหมือนไก่ทอด KFC ปกติแต่ว่าไม่ต้องแกะหรือแทะให้เสียเวลา และ mac n cheese บางคนชอบมากค่ะ ชีสเป็นเชดดาร์ รสชาดมันๆเค็มๆ ส่วนตัวเราเฉยๆกับเมนูนี้นะคะ ทั้งๆที่ปกติเป็นคนชอบชีสมาก
![]() |
Hot wings ร้อนๆจ้า |
![]() |
อันนี้คือ biscuit อร่อยๆ >< |
![]() |
อันนี้เป็นหน้าร้าน Buffet king ค่ะ ขนาดร้านค่อนข้างใหญ่ อันนี้คืออาหารที่รุ่นน้องทำค่ะ (เด็กๆอย่าสนใจขวดและกระป๋องแปลกๆด้านหลังค่ะพี่ขอ 555 ที่โน่นอายุไม่ถึง 21 ปีดื่มไม่ได้นะจ๊ะ) |
ปัญหาที่ 1 ที่เกิดขึ้น : หลังจากที่ทำงานไปได้ซัก 3 อาทิตย์ พวกบอสของ KFC ก็เข้ามาที่ร้านบ่อยขึ้น บอกว่าเด็กไทยเยอะมากเกินไป 7 คนนี่รับไม่ไหว ให้ออก 3 คน!!!! ไล่กันออกดื้อๆทั้งๆที่ไม่ได้มีใครทำอะไรผิด (แต่เข้าใจได้ เพราะว่าเราไม่ได้ทำสัญญากับร้านโดยตรง แต่เราทำสัญญากับอี sergio ต่างหาก) สรุปก็คือ ผู้หญิงออก 2 ผู้ชายออก 1 แต่เรากับรุ่นน้องยังคงทำอยู่ที่ KFC
วิธีการแก้ปัญหาที่ 1 : ตอนแรกแจ้งทางเอเจนซี่ไป เขาบอกเลยว่าช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ต้องแจ้งทาง US sponsor อย่างเดียว ซักพัก Sergio บอกว่าเดี๋ยวนางจะหางานใหม่ให้ ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าที่โดนไล่ออกไม่ใช่ความผิดของพวกเรา แต่ตอนนั้นพวกเราก็เครียดกันมากว่าจะตัดสินใจยังไงดีว่าให้ใครออก เพราะก็ไม่มีใครอยากเริ่มใหม่ แล้วก็ไม่รู้ว่างานใหม่ที่ได้จะเป็นงานอะไร สรุปงานใหม่ คือ Long John silver เป็นร้าน fast food ที่เป็นอาหารทะเลทอดๆ (ปรากฏว่าคนที่ออกไปได้ดีกว่าคนที่อยู่ เพราะร้านใหม่ของพวกเขาเวิ้คกว่าเยอะ 555) แถมใกล้ที่พักมากกว่าเดิมด้วยนะ เรื่องนี้ก็คงต้องยกความดีให้มันละน่ะที่อย่างน้อยก็รับผิดชอบหางานอื่นให้ ไม่งั้นอาจโดนส่งกลับบ้านมาแล้วก็ได้
ข้อคิด : จากเรื่องนี้ทำให้พวกเราทุกๆคนรู้เลยว่า เมื่อไปถึงที่อเมริกาแล้วนั้น You are on your own. ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นที่โน่นเราต้องช่วยเหลือตัวเอง แจ้งทาง US sponsor เขาคือคนที่ช่วยเราได้มากที่สุด โดยเอเจนซี่ที่ไทยนั้นมีประโยชน์แค่ดำเนินเรื่องให้เราไปที่เมกาได้แค่นั้นเอง ดังนั้นน้องๆเพื่อนๆคนไหนที่หวังจะพึ่งเอเจนซี่หากเกิดปัญหาขึ้นนี่ เลิกหวังได้เลยค่ะ (ปีที่ 2 ที่เราไป เราเลยเลือกเอเจนซี่เล็กๆ ราคาถูกมาก แต่ก็เกือบไม่ได้ไปละค่ะ แต่ถ้าหากใครได้เอเจนซี่ที่ดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือปัญหาก็ดีไปค่ะ)
ปัญหาที่ 2 : ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อกลับมาที่ไทยแล้ว คือ อีตา Sergio จะส่ง last pay check มาให้ทางไปรษณีย์ ซึ่งมันให้พวกเราเขียนซองจดหมายด้วยตัวเองแล้วเอาไปให้มัน พอกลับมาที่ไทยได้ประมาณ 2 เดือน คนไทยคนอื่นๆที่ไปเวิ้คที่นี่ได้เช็คกันหมดแล้ว...ยกเว้นเราเพียงคนเดียว ตอนแรกเราก็ติดต่อที่เอเจนซี่ไปว่ามีจดหมายไปหาเราหรือเปล่า ก็ปรากฎว่าไม่มี เราเลยบอกเอเจนซี่ไปแล้วมันก็ให้เราไปุถาม Sergio ว่าลืมส่งมาหรือเปล่า พอเราไปคุยกับ Sergio มันบอกว่ามันส่งมาหมดแล้วทุกคน ไม่มีของใครตกหล่น เราก็บอกว่าเรายังไม่ได้ แล้วมันก็บอกว่ามันส่งมาแล้วเท่ากับว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของมัน มันจะไม่ส่งมาให้ใหม่!!! คือ ใครจะไปยอมวะ จะบ้ารึป่าว? เงินตั้งหลายร้อยเหรียญ เราเลยไปแจ้งเอเจนซี่ว่าเกิดปัญหานี้ขึ้น...ปรากฏว่าก็เหมือนเดิม....พี่ช่วยอะไรน้องไม่ได้ น้องต้องแจ้ง US sponsor (หืม กูอยู่ไทยนี่ยังช่วยกูไม่ได้อีกนะ สึด!!!) สุดท้ายเราต้องจัดการปัญหาเองทุกอย่าง สากกะเบือยันเรือรบ ซึ่ง US sponsor ก็ช่วยคุยให้ สุดท้าย Sergio ยอมส่งเช็คมาให้ใหม่ แต่ขอหักค่าออกใหม่ไป 36$ คือ เหี้ยมากกกกกกก หักจนกูจะไม่เหลือละ
เพิ่มเติม : ตอนขากลับ Sergio ไม่คืนเงินมัดจำค่าบ้าน 100$ ค่ะ มันอ้างว่าเด็กไทยทำบ้านสกปรก ทั้งๆที่บางบ้านนี่เก็บกันเรียบมาก แดกเงินเหมือนเดิม - -
ข้อเสียของการไปที่นี่ : มีแต่เด็กไทยเยอะมากๆๆ คือ ไม่ได้ฝึกภาษาอย่างที่ควรจะเป็น (ซึ่งขัดกับเป้าประสงค์ในการไปเวิ้ค) เพราะในที่ทำงานด้วยกันก็มีแต่เด็กไทย ไปไหนมาไหนก็เจอแต่เด็กไทย ปาร์ตี้ก็ไปแต่ของเด็กไทย 555 ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยว่าจะขวนขวายในการใช้ภาษาอังกฤษมากแค่ไหน
สุดท้ายนี้คนหลายคนชอบถามว่าไปเวิ้คแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง? คุ้มไหมกับที่ต้องจ่ายเงินไปเป็นแสนๆ? เราว่ามันต้องถามตัวเองก่อนว่าคาดหวังอะไรจากการไปเวิ้ค? บางคนอยากไปเอาภาษา บางคนเอาเงิน บางคนเอาประสบการณ์ชีวิต และขึ้นอยู่ด้วยว่าเมื่อไปที่โน่นแล้วเราได้ทำอะไรบ้างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองหวัง? ถ้าคุณบอกว่าอยากไปเอาภาษาอังกฤษ แต่ไปที่โน่นแล้วคลุกอยู่แต่กับเด็กไทย ไม่ได้พยายามในการสื่อสารกับคนที่โน่นเลย แล้วอย่างนี้มันจะได้ภาษาไหม? ถ้าคุณบอกอยากไปเอาประสบการณ์ชีวิต แต่พอเจอปัญหาปุ๊บก็หนี ก็ถอย ไม่สู้ แล้วมันจะได้ไหม? ถ้าคุณอยากได้เงินเยอะๆให้คุ้มทุน แต่ขี้เกียจทำงาน นอนตีพุงเฉยๆ ไม่ขวนขวายหางานที่ 2 แล้วมันจะมีไหม?(แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับโลเคชั่นที่ไป จำนวนคน และระดับภาษาด้วยค่ะ) ดังนั้นอย่าลืมนะคะว่าเป้าหมายเราคืออะไร และเราได้ทำอะไรเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมายบ้าง สำหรับเรานั้นเราตั้งใจไปเอาภาษากับประสบการณ์ แล้วเราก็ได้มันกลับมาอย่างที่เราคาดหวังค่ะ
ฝันอะไรไว้ก็ไปให้ถึง ถ้ามันไม่ได้ทำให้พ่อแม่หรือใครต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่เราทำ อย่าเป็นเหมือนเราที่มานั่งเสียใจทุกวันนี้เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำและมันก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
This is your life. Go live. Make your own story.
ฝันอะไรไว้ก็ไปให้ถึง ถ้ามันไม่ได้ทำให้พ่อแม่หรือใครต้องเดือดร้อนกับสิ่งที่เราทำ อย่าเป็นเหมือนเราที่มานั่งเสียใจทุกวันนี้เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่อยากจะทำและมันก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกต่อไปแล้ว
This is your life. Go live. Make your own story.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น